ชื่อพระ :
หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่สร้าง ยุคแรกเนื้อแก่ผงพุทธคุณ จารดินสอ พิมพ์ใหญ่ พระธาตุเสด็จ
รายละเอียด :
หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ มีชาติกำเนิดในสกุล หนูศรี เดิมชื่อ ดู่
เกิดเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ.2447 ตรงกับวันศุกร์ ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
ปีมะโรง ซึ่งเป็นวันวิสาขปุรณมี ณ บ้านข้าวเม่า ตำบลข้าวเม่า อำเภออุทัย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
โยมบิดาชื่อ พุด โยมมารดาชื่อ พ่วง
ท่านมีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 3 คน ท่านเป็นบุตรคนสุดท้อง
มีโยมพี่สาวอีก 2 คน มีชื่อตามลำดับ ดังนี้
1. พี่สาวชื่อ ทองคำ
สุนิมิตร
2. พี่สาวชื่อ สุ่ม พึ่งกุศล
3. หลวงปู่ดู่
ปฐมวัย
และการศึกษาเบื้องต้น
ชีวิตในวัยเด็กของท่านดูจะขาดความอบอุ่นอยู่
มาก ด้วยกำพร้าบิดามารดาตึ้งแต่เยาว์วัย นางยวง พึ่งกุศล
ซึ่งมีศักดิ์เป็นหลานของท่านได้เล่าให้ฟังว่า บิดามารดาของท่านมีอาชีพทำนา
โดยนอกฤดูทำนาจะมีอาชีพทำขนมไข่มงคลขาย
เมื่อตอนที่ท่านเป็นเด็กทารก
มีเหตุการณ์สำคัญที่ควรจะบันทึกไว้คือ
วันหนึ่งซึ่งเป็นหน้าน้ำขณะที่บิดามารดาของท่านกำลังทอดขนมมงคลอยู่นั้น
ท่านซึ่งถูกวางอยู่บนเบาะนอกชานคนเดียว
ไม่ทราบด้วยเหตุใดตัวท่านได้กลิ้งตกน้ำทั้งคนทั้งเบาะ
แต่เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งที่ตัวท่านไม่จมน้ำ กลับลอยน้ำจนไปติดอยู่ข้างรั้ว
กระทั่งสุนัขเลี้ยงทื่บ้านมาเห็นเข้าจึงได้เห่าพร้อมกับวิ่งกลับไปกลับ
มาระหว่างตัวท่านกับมารดาท่าน
เมื่อมารดาท่านเดินตามสุนัขเลี้ยงออกมาจึงได้พบท่านลอยน้ำติดอยู่ที่ข้าง
รั้ว ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้มารดาท่านเชื่อมั่นว่า
ท่านจะต้องเป็นผู้มีบุญวาสนามากมาเกิด
ในโลกนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจาก
ทุกข์ ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่
ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป พึงมองเห็นโลกนี้เป็นความว่างเปล่า
ว่างเปล่าจากตัวตนที่เที่ยงแท้
บุคคลใดก็ตามที่ยึดมั่นหมายมั่นแม้ว่าเป็นลูกของตน สามีภรรยาของตน
บิดามารดาของตน หรือวัตถุสิ่งของของตน เมื่อความไม่เที่ยงมาถึง
ความเสื่อมสลายย่อมบังเกิดขึ้นกับสิ่งเหล่านั้นอันเป็นธรรมดาโลก
การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักที่พอใจ
จึงนำมาซึ่งความทุกข์ระทมใจของผู้ยึดมั่นหมายมั่นนั้น
มารดาของท่าน
ได้ถึงแก่กรรม ตั้งแต่ท่านยังเป็นทารกอยู่ ต่อมาบิดาของท่านจากไปอีก
ขณะท่านมีอายุเพียง 4 ขวบเท่านั้น
ท่านจึงต้องกำพร้าบิดามารดาตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็กจำความไม่ได้
ท่าน
ได้อาศัยอยู่กับยาย โดยมีโยมพี่สาวชื่อ สุ่ม
เป็นผู้ดูแลเอาใจใส่และท่านก็ได้มีโอกาสศึกษาเล่าเรียนที่วัดกลางคองสระบัว
วัดประดู่ทรงธรรม และวัดนิเวศน์ธรรมประวัติ
สู่เพศพรหมจรรย์
เมื่อ
ท่านอายุได้ 21 ปี ก็ได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม
พ.ศ.2468 ตรงกับวันอาทิตย์ แรม 4 ค่ำ เดือน 6 ณ วัดสะแก ตำบลธนู อำเภออุทัย
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยมีหลวงพ่อกลั่น เจ้าอาวาสวัดพระญาติการาม
เป็นพระอุปัชฌาย์ มีหลวงพ่อแด่ เจ้าอาวาสวัดสะแก
ขณะนั้นเป็นพระกรรมวาจาจารย์ และมีหลวงพ่อฉาย วัดกลางคลองสระบัว
เป็นพระอนุศาสนาจารย์ ได้รับฉายาว่า พรหมปัญโญ
ในพรรษาแรก ๆ นั้น
ท่านได้ศึกษาพระปริยัติธรรม ที่วัดประดู่ทรงธรรม
ซึ่งในสมัยนั้นเรียกว่าวัดประดู่โรงธรรม โดยมีพระอาจารย์ผู้สอนคือ
ท่านเจ้าคุณเนื่อง, พระครูชม เป็นต้น
ในด้านการปฏิบัติพระกรรมฐาน
นั้น ท่านก็ได้ศึกษากับหลวงพ่อกลั่น ผู้เป็นอุปัชฌาย์ และหลวงพ่อเภา
ศิษย์องค์สำคัญของหลวงพ่อกลั่น ซึ่งมีศักดิ์เป็นอาของท่าน
เมื่อท่านบวชได้พรรษาที่ 2 ประมาณปลายปี พ.ศ.2469 หลวงพ่อกลั่นก็มรณภาพ
ท่านจึงได้ศึกษาหาความรู้จากหลวงพ่อเภาเป็นสำคัญ
นอกจากนี้ท่านยังได้ศึกษาจากตำรับตำราที่มีอยู่ในชาดกบ้าง จากธรรมบทบ้าง
และด้วยความที่ท่านเป็นผู้ที่รักการศึกษาค้นคว้า
ท่านจึงได้เดินทางไปศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมจากพระอาจารย์อีกหลายท่านที่
จังหวัดสุพรรณบุรีและสระบุรี
ประมาณพรรษาที่ 3 ท่านก็ได้เดินธุดงค์
โดยมีสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาเป็นจุดหมายปลายทาง
กล่าวคือเดินทางออกจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยามุ่งตรงสู่จังหวัดสระบุรี
กราบนมัสการพระพุทธฉายและรอยพระพุทธบาท
จากนั้นท่านเดินธุดงค์ไปยังจังหวัดสิงห์บุรี สุพรรณบุรี และกาญจนบุรี
ท่นได้ใช้เวลาเดินธุดงค์ ประมาณ 3 เดือน จนกระทั่งอาพาธจึงได้พักการธุดงค์
หลวง
ปู่ดู่ท่านได้ถือข้อวัตร คือฉันอาหารมื้อเดียวมาตั้งแต่ก่อนปี พ.ศ.2500
แต่ภายหลังคือประมาณปี พ.ศ.2525 เหล่าสานุศิษย์ได้กราบนิมนต์ให้ท่านฉัน 2
มื้อ เนื่องจากความชราภาพประกอบกับต้องรับแขกมากขึ้น
ท่านจึงได้ผ่อนปรนตามความเหมาะสมควรแห่งอัตภาพ
แต่เมื่อถามความเห็นของท่านจึงทราบว่า
ท่านต้องการโปรดญาติโยมที่มาจากที่ไกล ๆ จะได้มีโอกาสทำบุญ
หลวงปู่
ดู่ท่านได้ตัดสินใจไม่รับ กิจนิมนต์ไปนอกวัดตั้งแต่ก่อนปี พ.ฯศ.2490
ส่วนที่นาอันเป็นสมบัติดั้งเดิมของท่าน ซึ่งมีอยู่ประมาณ 30 ไร่
ท่านก็แบ่งให้กับหลาน ๆ ของท่าน ซึ่งในจำนวนนี้ นายยวง พึ่
ประมาณ
เดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๙ ข้าพเจ้านายยวง พึ่งกุศล
(ปัจจุบันบวชเป็นพระภิกษุวัดสะแก) ป่วยเป็นโรคท้องเดินอย่างกระทันหัน
ได้ไปอยู่โรงพยาบาลปัญจะมาธิราชอุทิศ หมอจัดให้อยู่ในห้องพิเศษ
(มีเตียงคู่และห้องน้ำ) แต่ละวันแต่ละคืน
ข้าพเจ้าต้องเข้าห้องน้ำเพื่อถ่ายแบบยิบย่อย คือถ่ายมากแล้วก็ค่อยๆ
ถ่ายน้อยลง แต่ต้องเข้าห้องน้ำอยู่เรื่อย
ไม่มีกากถ่ายไปนั่งเบาสักนิดก็ยังดี ประมาณ ๒ ถึง ๓ นาที
ก็ต้องไปเข้าห้องน้ำอีก เป็นอยู่อย่างนี้เรื่อยไปจนกว่าจะถึงเวลาเช้ามืดตี ๒
ถึงตี ๔ ก็จะอ่อนเพลียหมดกำลังหลับไปเอง
พอเช้ามืดใกล้สว่างจะต้องลุกขึ้นทำสมาธิบนเตียง
ซึ่งมีครูถมยาทำสมาธิอีกเตียงหนึ่ง ทุกวันทุกคืนเป็นอย่างนี้ประมาณ ๑๐ วัน
ใน
คืนวันหนึ่ง ข้าพเจ้าก็เข้าๆ ออกๆ ห้องน้ำ
ตั้งแต่ตอนหัวค่ำปวดท้องเหลือเกิน จะลุกขึ้นเดินก็ตัวขดตัวงอ
มือประคองท้องอยู่เรื่อยไป งีบหลับไปได้หน่อยก็ตื่นขึ้นมา
ต่างคนต่างทำสมาธิกันไป
คืนนั้นข้าพเจ้าหลับตาเห็นแสงสว่างอย่างมากเป็นลำยาวไกลออกไปข้างหน้าอย่าง
ประมาณหาที่สุดมิได้ แสงสว่างนั้นยิ่งมากขึ้นๆ
แล้วก็ใหญ่ขึ้นจนมองเห็นต้นไม้ใบไผ่ ใบไม้สีเขียวชะอุ่มไกลลิบสุดลูกนัยน์ตา
จากนั้นข้าพเจ้าได้เห็นแสงสว่างเป็นรัศมีของดวงอาทิตย์อ่อนๆ แล้วก็ค่อยๆ
ลอยตัวขึ้นทีละน้อยๆ จนเห็นว่าดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาจากริมเขาชายต้นไม้
เป็นสีเหลืองเข้มค่อยๆ ลอยขึ้นๆ จากน้อยมาหามาก
จนใกล้จะถึงครึ่งวงกลมของดวงอาทิตย์ ตอนนั้น จิตของ
ข้าพเจ้าได้เห็นองค์หลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืดได้อย่างชัดเจน!
ข้าพเจ้า
ดีใจมาก รู้สึกว่าตัวของข้าพเจ้าสั่นด้วยความดีใจ ดวงอาทิตย์ ค่อยๆ
ลอยขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งเต็มดวง ดวงอาทิตย์สว่างเจิดจ้า เย็นหู เย็นตา
เย็นจิต เย็นใจ ขนพองสยองเกล้าจนถึงศรีษะ ตอนนั้นหลวงพ่อทวดหายไป
เปลี่ยนเป็นหลวงน้าดู่ พรหมปัญโญ นั่งอยู่ตรงที่หลวงพ่อทวดนั่ง
ดวงอาทิตย์ยังลอยขึ้นใกล้จะถึงตรงศรีษะของข้าพเจ้า
หลวงน้าดู่หายไปกลายเป็นหลวงพ่อทวดนั่งอยู่ตามเดิม (บนดวงอาทิตย์)
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ลดต่ำลงมาทีละน้อยๆ จนกระทั่งใกล้ถึงตรงหน้าข้าพเจ้า
หลวงพ่อทวดหายไป กลายเป็นหลวงน้าดู่ ท่านลงจากดวงอาทิตย์
แล้วเดินมาหยุดข้างหลังข้าพเจ้า ก้มลงเล็กน้อย
พร้อมกับยื่นมือขวามาจับพุงของข้าพเจ้า
แล้วกระชากดึงพุงอย่างแรงจนตัวไหวไปทั้งตัว ๓ ครั้ง แล้วท่านบอกว่า "หาย"
ข้าพเจ้าก็คิดในใจว่าท่านดึง ๓ ครั้งแค่นี้จะหายหรือ
เลยลองขยับกายไปทางขวาจะปวดไหม เอ๊ะ! ไม่ปวด
ลองขยับมาทางซ้ายบ้างก็ไม่ปวดอีก คราวนี้ลองอีกแรงๆ ก็ไม่เป็นอะไร
ด้วยความดีใจก็บอกคุณถมยาว่า "เลิกเหอะ ฉันหายแล้ว หลวงพ่อทวดมาช่วย
หลวงน้าดู่รักษาโดยการจับพุงฉันดึง ๓ ที ก็เลยหายพอดี"
คุณถมยาเปิดไฟแล้วให้ข้าพเจ้าลุกขึ้นเดินภาวนา
กลับไปกลับมาจากหน้าเตียงถึงประตู ๓ ครั้ง ก็ไม่เป็นไรแน่ หายดีเป็นปกติ
รูปหลวงน้าดู่ที่ท่านดึงอยู่ก็หายไป เอ๊ะ
นี่จะเป็นองค์ไหนกันแน่ที่ทำให้เราหาย
ใจหนึ่งคิดว่าหลวงน้าดู่ดึงพุงทำให้เราหาย อีกใจหนึ่งก็คิดว่า
หลวงพ่อทวดเหยียบดวงอาทิตย์มารับหลวงน้าดู่เพื่อรักษาเรา มันสับสนคิดไม่ออก
หายแล้วกลับไปวัดจะต้องถามหลวงน้าดู่ให้ได้
เมื่อครบกำหนด ๑๖ วัน
ตามที่หมอสั่งก็กลับบ้านแล้วมาที่วัดทันที ไม่มีดอกไม้ ธูปเทียน
มีแต่ใจมากราบนมัสการ พร้อมกับทองคำเปลวอย่างดี
ข้าพเจ้าได้ถามหลวงน้าดู่ว่า
ข้าพเจ้า "การที่หลวงพ่อทวด
เหยียบน้ำทะเลจืด ขึ้นมานั่งบนดวงอาทิตย์ครั้งแรก แล้วต่อมาเป็นหลวงน้าดู่
พรหมปัญโญ พอจะถึงพื้นกลายเป็นหลวงพ่อทวด พอลอยต่ำลงมาถึงพื้น
ก็กลายเป็นหลวงน้าดู่ ลงมาช่วยดึงพุงผม ๓ ครั้งจนหาย หมายความว่าอย่างไร
เดี๋ยวเป็นหลวงพ่อทวด เดี๋ยวเป็นหลวงน้า"
หลวงน้า
"แล้วแกว่าอย่างไร"
ข้าพเจ้า "เห็นกลับไปกลับมา
ก็คงเป็นหลวงพ่อทวดองค์เดียวกัน"
หลวงน้า "ก็อย่างแกว่านั่นแหละ"
ข้าพเจ้า
"ถ้าอย่างนั้น ก็เป็น พระ ศรีอริยเมตไตรย นะสิ"
หลวงน้า
"ก็หลวงพ่อทวด คือ พระศรีอริยเมตไตรย ท่านกลับชาติมาเกิดเพื่อสร้างบารมี
รู้แล้วอย่าพูดไป เพราะคนที่เขาไม่เชื่อ เขาจะพากันตกนรก
เราจะพลอยบาปไปด้วย"
ทองคำที่ ปิดเท้าหลวงน้าดู่นั้น ข้าพเจ้าติด
ถวายแก่ พระศรีอริยเมตไตรย ที่ เท้าของ หลวงน้าดู่ พรหมปัญโญ
สาเหตุ
ที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผย
เนื่องจากก่อนที่จะทำการพระราชทานเพลิงศพบิดาของผู้เขียน
ผู้เขียนได้มีโอกาสคุยกับน้ายวง ผู้เขียนได้ถามว่า
"น้าคิดว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์ หรือเป็นหน่อพุทธภูมิ" น้ายวงจึงตอบว่า
"อาจารย์คิดว่าหลวงน้าเป็นอะไร" ผู้เขียนตอบว่า "ท่านเป็นหน่อพุทธภูมิ
เพราะท่านเคยบอกครั้งหนึ่ง เมื่อครั้งที่นำพระนาคปรก
ซึ่งหลวงปู่บุดดาฝากถวายมาให้ และมีอีกหลายอย่าง ครั้งจากนั่งสมาธิ
มีคนเห็นหลวงพ่อกับหลวงพ่อทวดสลับกันไป สลับกันมา
ซึ่งแสดงว่าท่านต้องเป็นองค์เดียวกัน" น้ายวงจึงตอบว่า
"ถ้าอย่างนั้นผมจะเขียนเรื่องราวที่ผมสัมผัสมากับหลวงน้า
ซึ่งหลวงน้าสั่งให้ปิดไว้เป็นความลับ เป็นเวลานานหลายสิบปีแล้ว
คงจะถึงเวลาที่จะเปิดได้แล้ว" ผู้เขียนจึงได้นำบทความนี้มาลง
ซึ่งเป็นการเขียนจากผู้มีประสบการณ์จากตัวเอง และผู้เขียนเอง
มีความรู้สึกอยากสรุปเรื่องของหลวงปู่
เพราะแม้แต่เกศาหรือฟันของท่านก็กลายเป็นพระธาตุ
พระเครื่องเกิดเป็นพระธรรมธาตุ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับพุทธวิสัย
คือผู้ที่ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ย่อมมีบุญญาธิการเกินกว่าปุถุชนอย่างเรา
ไม่ควรที่จะวิจารณ์ ดังที่พระพุทธองค์กล่าวไว้ว่า เป็น จินไตย
หรือแม้แต่องค์หลวงปู่เอง ท่านเคยกล่าวว่า
"เรื่องของข้าบางทีก็เกินพระไตรปิฎก ต้องรู้เอง ปฏิบัติเอง พูดมากไม่ดี
เดี๋ยวคนจะลงนรก"
แบ่งให้บูชา 4,999 บาท ทุกรายการที่ท่าน เช่าบูชาพระเครื่องหรือเครื่องรางของเรา เงินของท่าน
ส่วนหนึ่ง ท่านได้ร่วม ทำบุญกับเรา จึงขออนุโมทนากับท่านด้วย ขอบุญนี้จงสำเร็จแก่ เทวดาประจำตัวเจ้ากรรมนายเวร เชื้อโรคไวรัส
และญาติของท่าน ด้วยกันทุกผู้ทุกคนเทอญ เม สัมมุขา สัพพาหะระติ เต สัมมุขา
ผู้ใดมีจิตคิดร้าย จงสะท้อนกลับร้อยเท่า พันเท่า ศึกษา สะสม แบ่งปันกันฉันพี่น้อง สงสัยสนใจ โทร ปรึกษา (AIS) 081-253-4483
อินทร์ inonnim@gmail.com
|
ราคาสูงสุด ขณะนี้ :
999 บาท
ราคาที่ต้องเพิ่มขึ้น ขั้นต่ำ :
500 บาท
เงื่อนไขการรับประกัน :
รับประกันแท้ จองได้ ปิดได้ ขอไม่เกิน 2วัน
ผู้ตั้งประมูล :
อินทร์ อ่อนนิ่ม
ที่อยู่ :
นายอินทร์อ่อนนิ่ม หมู่บ้านคลองพุดซา 34/4 ม.17 ต.บางกระสั้น อ.บางปะอิน จ.อยุธยา 13160 ไทย
เบอร์โทรติดต่อ :
0627964936, 0627964936
E-mail :
inonnim@gmail.com
ชื่อบัญชี :
นายอินทร์อ่อนนิ่ม
เลขที่ บัญชี :
5742651395
ธนาคาร :
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
วันที่ :
Mon 22, Aug 2011 19:11:31