เกศากลายเป็นพระธาตุ
ศิษย์เก่าแก่ของหลวงพ่อท่านหนึ่งซึ่งอยู่ที่กรุงเทพฯ ครั้งหนึ่งได้นิมนต์หลวงพ่อครูบาชัยวงศ์มาพักที่บ้าน ระหว่างที่เดินทางมาบ้านของเธอ หลวงพ่อได้เมตตามอบหลอดแก้วเล็กๆ ซึ่งบรรจุเส้นเกศาของท่านไว้ มาให้บูชาติดตัว เมื่อเธอได้รับหลอดแก้วบรรจุเส้นเกศาของหลวงพ่อ ก็ได้เก็บไว้เฉยๆ ประมาณ ๔-๕ ปี จึงได้เอาหลอดแก้วนั้นไปเลี่ยมทอง เพื่อใช้ห้อยคอติดตัวเป็นประจำ
วันหนึ่งได้มีคนรู้จักและสนิทกันมาทักทาย และได้ขอดูหลอดแก้วที่ได้มานั้น เมื่อได้พิจารณาดูสักครู่ ก็ได้ถามว่า หลอดแก้วนี้บรรจุทับทิมเอาไว้ด้วยหรือ เธอรู้สึกแปลกใจที่ถูกถามเช่นนั้น ได้ตอบไปว่าไม่ได้ใส่อะไรเพิ่มเข้าไปเลย ตั้งแต่ได้มา คงมีแต่เส้นเกศาของหลวงพ่อสีเทาขาวบรรจุอยู่เต็มภายในนั้นอย่างเดียว คงยืนกรานเช่นนั้น
แต่ทว่า เพื่อนคนนั้นได้ท้วงว่า ก็เห็นอยู่นี่ไง จึงได้หยิบมาพิจารณาดูอย่างละเอียดอีกครั้ง แล้วก็ต้องแปลกใจและดีใจเป็นอย่างมาก ที่ได้เห็นว่าภายในหลอดแก้วนั้น นอกจากจะมีเส้นเกศาของหลวงพ่อ แล้วยังมีเม็ดทับทิมเล็กๆ อยู่ภายในนั้นด้วย ต่างคิดว่าคงเป็นเพราะบุญฤทธิ์และความเมตตาของหลวงพ่อเป็นแน่ เส้นเกศาของท่านจึงได้กลายเป็นพระธาตุสีทับทิมเหมือนปาฏิหาริย์
ต่อมาอีกระยะหนึ่ง เส้นเกศาที่เหลือของท่านก็ได้เริ่มกลายเป็นเส้นสีทองไปบ้างแล้วอย่างเห็นได้ชัด โอ้หลวงพ่อท่านศักดิ์สิทธิ์จริงๆ ศิษย์ท่านนั้นเล่าด้วยความปีติใจ
(โดย สุวรรณา)
--------------------------------------------------------------------------------
พระธาตุเสด็จในสำลี
เจ้าของพระธาตุ เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเธอได้มีโอกาสเดินทางไปทำธุระกับหลวงปู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ระหว่างทางที่หยุดเติมน้ำมัน หลวงปู่ควักเอาสำลีเปล่าๆ ออกมาเช็ดขี้ตา เช็ดเสร็จแล้วท่านก็ส่งให้เธอ จากนั้นเธอก็ได้เก็บติดตัวมาโดยตลอดเพราะปกติเป็นคนชอบกลัวผี จึงเอาสำลีที่ได้พับเก็บไว้ในผ้ายันต์มาตลอดเป็นเวลานับ ๑๐ ปี
หลังจากหลวงปู่มรณภาพ ได้มีสารวัตรคนหนึ่งซึ่งเคยได้ยินมาว่า เธอมีผ้ายันต์ของหลวงปู่ จึงอยากจะเห็น และได้ขอเธอดู เมื่อเธอเปิดให้ดูก็พบว่ามีพระธาตุจำนวน ๖ องค์อยู่ในสำลี ซึ่งเธอเก็บไว้ในผ้ายันต์ เธอจึงแปลกใจว่าพระธาตุที่ไหนมาอยู่ในสำลีของเธอ ทั้งๆ ที่ตอนแรกที่หลวงปู่ให้มา เป็นเพียงแค่สำลีเปล่าๆ ที่ใช้เช็ดขี้ตาของหลวงปู่ ด้วยบุญบารมีของหลวงปู่แท้ๆ แม้แต่ขี้ตาก็ยังกลายเป็นพระธาตุขึ้นมาได้ และยังมีพระธาตุอื่นๆ เสด็จมารวมอยู่ด้วย
(โดย อุบาสิกา จิตสมา)
--------------------------------------------------------------------------------
พระรอดของหลวงพ่อ
องค์นี้ท่านคายออกมาพร้อมคำหมากให้กับพระตุดี ท่านตุดีเคยได้มา 4 องค์ นี่เป็นหนึ่งใน 4
ข้อมูลจากคุณคมกฤช โพสท์ในเวบ board.palungjit.com วันที่ 05-09-2007
ดิฉันได้กราบนิมนต์หลวงพ่อมาโปรดที่บ้าน ลูกศิษย์ของหลวงพ่อ เมื่อทราบข่าว ต่างก็ทยอยกันมากราบท่านทั้งวัน เนื่องจากมีคนมามากมายเหลือเกิน ดิฉันและสามีจึงได้เข้าไปกราบท่านในตอนเย็น ในขณะที่เข้าไปกราบหลวงพ่อ สามีของดิฉันเห็นพระรอดวางอยู่บนเตียงของหลวงพ่อ
สามีของดิฉันจึงได้ถามหลวงพ่อว่า "พระรอดองค์นี้ของหลวงพ่อหรือครับ"
หลวงพ่อบอกว่า "พระรอดองค์นี้เป็นของลูก"
ดิฉันและสามีรู้สึกมีความปีติมากจนน้ำตาไหล และร้องไห้ต่อหน้าหลวงพ่อ ขณะที่ดิฉันกำลังใช้มือเช็ดน้ำตาก็ต้องแปลกใจเป็นอย่างมากที่มีวัตถุบางอย่างมาติดอยู่ที่ซอกนิ้วมือ เมื่อดิฉันมองดูจึงเห็นพระรอด มาติดอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางดิฉันจึงถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อ ทำไมมีพระรอดมาอยู่ในมือของลูก"
หลวงพ่อตอบว่า "ก็ลูกขี้แย"
ดิฉันจึงเอาพระรอดคืนให้หลวงพ่อ
แต่หลวงพ่อก็ให้พระรอดคืนมาพร้อมกับบอกว่า "เป็นของลูก"
หลวงพ่อมาจำวัดอยู่หลายวัน หลายวันนั้นหลวงพ่อปวดเมื่อยขา ดิฉันจึงตามหมอมานวดถวายหลวงพ่อ ก่อนจะกลับวัดหลวงพ่อบอกให้ดิฉันไปเอาของที่หัวเตียงของหลวงพ่อ
หลวงพ่อบอกว่า "เป็นของลูก"
ดิฉันจึงไปดูเห็นเป็นชานหมากของหลวงพ่อสองคำ เมื่อดิฉันแกะชานหมากออกดูก็ได้พบพระรอดอยู่ในชานหมากคำละองค์ ด้วยบุญฤทธิ์ของหลวงพ่อแท้ๆ ที่ท่านเมตตาให้พระรอดดิฉันมาบูชา
(โดย สุวรรณา)
--------------------------------------------------------------------------------
พระรอดในกล่องนม
เรื่องพระรอดชานหมากมีเรื่องที่ศิษย์จำนวนมากของหลวงพ่อประสบกันมามากมายเพียงแต่ต่างวาระโอกาสกันเท่านั้น
เมื่อปี ๒๕๓๕ ครั้งนั้นหลวงพ่อเดินทางไปกราบสังเวชนียสถาน ในขณะที่พวกเรากำลังเดินทางโดยรถโดยสาร ผู้ช่วยทัวร์บริษัทสยามอินทรชัยการท่องเที่ยวซึ่งเป็นผู้นำทัวร์ ได้ถวายนมกล่องแด่หลวงพ่อ ท่านรับไปฉันจนเกือบหมด แล้วจึงคืนกล่องนมให้คุณสุปรีดา
ตอนแรกคุณสุปรีดาคิดในใจว่า อยากจะเก็บไว้ให้ลูกเมื่อกลับถึงเมืองไทย แต่เมื่อคิดดูอีกทีอีกหลายวันเหลือเกินกว่าจะได้กลับ จึงเปลี่ยนใจขอดื่มเสียเอง
ขณะกำลังยกกล่องนม เธอได้ยินเสียงดังเหมือนมีของบางอย่างกลิ้งไปมาอยู่ในกล่องด้วยความอยากรู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใน เธอจึงใช้มีดผ่ากล่องนมจึงได้พบพระรอดองค์เล็กๆ ๑ องค์อยู่ในนั้น
การเดินทางไปอินเดียเที่ยวนี้ ไม่เพียงแต่คุณสุปรีดาเท่านั้นที่โชคดีได้พระรอด ยังมีอีกหลายคนในคณะที่ได้พระรอด โดยการที่หลวงพ่อยื่นคำหมากที่เคี้ยวออกจากปากส่งให้ศิษย์บางคนที่ยังไม่เคยได้ หรือผู้ที่ยังไม่เชื่อ หากมีวาสนาก็มักจะได้พระรอดเป็นที่อัศจรรย์เสมอ ตลอดการเดินทางในครั้งนั้น
มีผู้ได้รับพระรอดจากหลวงพ่อคนละองค์เป็นจำนวนถึง ๑๕ คนด้วยกัน
--------------------------------------------------------------------------------
ชานหมากกลายเป็นพระรอด
ประมาณปี ๒๕๓๘
ขณะที่หลวงพ่อเข้ารับการตรวจสุขภาพและรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ต้องนอนพักที่ศิริราช เพื่อรอผลการตรวจ
วันนั้นมีลูกศิษย์กลุ่มหนึ่งทราบข่าว และได้เข้าไปเยี่ยม
หลังจากกราบนมัสการหลวงพ่อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก่อนที่ทุกคนจะกลับ ต่างก็เห็นหลวงพ่อกำลังหยิบชานหมากแห้งๆ มาไว้ในมือเพื่อที่จะแจก ทุกคนที่ไปกราบท่านในวันนั้นต่างก็ดีใจที่จะได้รับแจกชานหมาก
ในขณะที่ท่านกำลังส่งให้ถึงมือแต่ละคนนั้น ยังเป็นเพียงชานหมากธรรมดาเท่านั้น พอตกถึงมือแต่ละคนแล้วชานหมากนั้นกลับกลายเป็นพระรอด
เรื่องนี้เป็นเรื่องอจินไตย ใครอยากทราบว่าเป็นจริงอย่างไรไปขอดูของจริงได้ที่ คุณสุรชัย วีระมโนกุล ซึ่งเป็นบุคคลหนึ่งที่ได้พระรอดดังกล่าวมาไว้ในครอบครอง
--------------------------------------------------------------------------------
พระเทวานัมปิยเถระ
พระธาตุที่หลวงปู่เก็บรักษาไว้
อาจกล่าวได้ว่า หลวงปู่วงศ์ ท่านเป็น พระเทวานัมปิยะเถระ องค์หนึ่ง...
ผู้ซึ่งเป็นพระเถระ...อันเป็นที่รักยิ่งของเทวดาทั้งหลาย กล่าวคือเมื่อครั้งที่ท่านได้รับพัดยศพระครูใหม่ๆ ท่านได้แวะที่วัดบ้านปาง ก่อนถึงบันไดทางขึ้น ท่านได้แวะทำธุระส่วนตัวเมื่อเสร็จธุระแล้ว เทวดาได้ขอให้ท่านประทับรอยเท้าไว้บนก้อนหินเพื่อเขาจะได้เอาไว้กราบไหว้สักการบูชาต่อไป
หินก้อนนี้ ปัจจุบันเจ้าอาวาสวัดบ้านปางได้นำขึ้นไปประดิษฐานข้างบนและได้สร้างมณฑปครอบไว้อย่างสวยงาม
ในปี ๒๕๓๙ หลังจากที่ได้สร้างมณฑปเสร็จและนำหินก้อนดังกล่าวไปประดิษฐานแล้ว เจ้าอาวาสวัดบ้านปาง ได้บอกกับผู้เขียนว่า จะนิมนต์หลวงปู่มาประทับรอยเท้าบนหินก้อนนี้อีกครั้ง
หลังจากนั้น ในปี ๒๕๔๐ ผู้เขียนได้ไปที่นั่นอีก ก็พบว่าบนก้อนหินมีทั้งรอยมือรอยเท้าของหลวงปู่ พร้อมกับปิดทองไว้อย่างสวยงามอีกด้วย
หลวงปู่สิม พุทธาจาโร ได้เคยพูดถึงหลวงปู่ เมื่อคราวที่ผู้เขียนได้ไปถวายพระธาตุบรรจุเจดีย์วัดถ้ำผาปล่องว่า...
"ครูบาวงศ์องค์นี้พระธาตุเยอะนะ"
ทั้งนี้และทั้งนั้น ผู้เขียนคิดว่าหลวงปู่สิม ท่านคงจะทราบว่า หลวงปู่ ท่านเป็นผู้ที่มีบารมีเกี่ยวกับพระธาตุมาก
ดังเราจะเห็นได้จากคำบันทึกของผู้ใกล้ชิด ที่ได้ติดตามหลวงปู่ไปแสวงบุญยังต่างประเทศ เช่นจากบันทึกของอาจารย์พรนพ พุกกะพันธุ์ เป็นต้น
(โดย ศิษย์วัดดอย)
--------------------------------------------------------------------------------
คาถาอะไรก็สู้ใจไม่ได้
ในขณะที่รอขึ้นเครื่องบินที่สนามบินเชียงใหม่ ได้กราบขอเมตตาท่านครูบาเจ้า สอนคาถาสั้นๆ เพื่อใช้ในยามฉุกเฉินสักบทหนึ่ง
ท่านครูบาเจ้าได้สอนคาถาให้สามคำคือ อะ อิ อุ พอพูดจบท่านบอกว่า
"สามคำยังยาวอยู่ สู้ใจไม่ได้"
ท่านพูดว่า "ตัวอย่าง พ่อคิดถึงลูก ก็ถึงได้ทันที อีกสองชั่วโมงลูกก็โผล่มาให้เห็นหน้าที่วัด"
ทั้งๆ ที่บ้านผู้เขียนอยู่ห่างจากวัดถึง ๑๕๐ กิโลเมตร แสดงว่าคาถาใจไวกว่ารถ
(โดย ปฐม พัวพันธ์สกุล)
--------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่สอนเขียนภาพพระนางจามเทวี
ภาพพระนางจามเทวีที่คุณวันทนา
เขียนขึ้น
คุณวันทนา พัวพันธ์สกุล เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เมื่อปลายปี ๒๕๔๑ เธอได้รับมอบหมายจากทางเทศบาลเมืองลำพูน ให้เป็นผู้วาดภาพเชิงเสมือนจริงของพระนางจามเทวี ปฐมกษัตริย์แห่งหริภุญชัย ขนาดเท่าองค์จริง เนื่องในวโรกาสที่นครศรีหริภุญชัย ก้าวสู่ศตวรรษที่ ๑๔
เธอจึงเข้ากราบขอความเมตตาจากหลวงปู่เพื่อขอคำแนะนำ เริ่มตั้งแต่เขียนแบบเค้าพระพักตร์ คิ้ว ปาก คาง จมูก แม้กระทั่งสี ผิวพรรณ สัดส่วน ลักษณะสีหน้าท่าทางและความสูง ขณะที่พูดถึงความสูงของพระนางฯ หลวงปู่บอกว่า สูง ๓ ศอกเดี้ยม ซึ่งเท่ากับ ๑๖๙ เซนติเมตร เธออดสงสัยไม่ได้ จึงพลั้งปากถามหลวงปู่ว่า
"ครูบาเจ้าทราบได้อย่างไรว่าสูง ๑๖๙ เซนติเมตร"
คุณวันทนา พัวพันธ์สกุล ผู้วาดภาพพระนางจามเทวี
หลวงปู่ตอบว่า "เจ้าแม่มาบอกเอง"
พองานผ่านไปได้ระดับหนึ่ง หลวงปู่ท่านยังได้เมตตาไปตรวจงานถึงที่บ้านด้วยความที่เธอยังไม่หมดความสงสัย เพราะเคยได้ยินได้ฟังมานานแล้วว่าหลวงปู่ในอดีตเคยมีความเกี่ยวข้องกับพระนางจามเทวีอย่างไร แต่ก็ไม่กล้าถามตรงๆ เมื่อสบโอกาสเธอจึงกราบขอสุมา เรียนถามหลวงปู่ว่า
"หลวงปู่ครูบาเจ้า คือ ฤาษีวาสุเทพ หรือ สุเทวฤาษีใช่ก่เจ้า"
หลวงปู่มองหน้าแล้วตอบสั้นๆ ว่า "ฮื่อ"
เธอจึงหายสงสัยว่าทำไมหลวงปู่จึงมีพระรอดสมัยพระนางจามเทวีอยู่ในคำหมากไว้แจกลูกหลานจนเป็นที่อัศจรรย์นัก
(โดย คุณธนกร สุริยนต์)
--------------------------------------------------------------------------------
หลวงปู่ในอดีต
กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ ภาพ "หลวงปู่ในอดีต"
ที่หลวงปู่เขียนขึ้น
สมัยก่อน ตั้งแต่เรา ๆ ท่าน ๆ ยังไม่รู้จัก หลวงปู่ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา เวลาหลวงปู่จะเข้ากรุงเทพฯ ท่านมักจะแวะที่บ้านอาจารย์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ท่านหนึ่ง ทั้งขาไป และขากลับ
มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้แวะไปที่บ้านอาจารย์ท่านนั้นอีกครั้ง ในช่วงเวลาที่อยู่เป็นการส่วนตัว หลวงปู่ได้ปรารภกับอาจารย์ท่านนั้นว่า หลวงปู่จำเขาได้ เพราะว่าเคยเป็นพ่อลูกกันมาหลายชาติแล้ว และเขาก็ได้ติดตามหลวงปู่มาโดยตลอด
ในขณะที่หลวงปู่พูด ก็ได้หยิบกระดาษมาวาดรูปบุคคลสำคัญท่านหนึ่งในอดีต ซึ่งเป็นเชื้อสายราชวงศ์ของกษัตริย์ไทย
ท่านวาดเสร็จ ก็ยื่นให้อาจารย์ท่านนั้นดูแล้วถามว่า
หลวงปู่ถามว่า “รู้จักไหม ว่าใคร”
อาจารย์ท่านนั้น “ไม่ทราบครับ ครูบา”
หลวงปู่ตอบว่า “หลวงปู่ในอดีต”
อาจารย์ท่านนั้น ถามว่า “ใครครับ ครูบา”
หลวงปู่ตอบสั้น ๆ ว่า “วังหน้า วิชัยชาญ”
--------------------------------------------------------------------------------
ปู่กับอดีตชาติ
หลวงปู่เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ มีความเกี่ยวพันกับอดีตชาติของท่านมาก หลวงปู่จึงเรียกดอยกวางคำแห่งนี้ว่า สุสานเก่าของท่าน ผู้เขียนเคยสนทนากับชาวบ้านที่อยู่รอบดอยกวางคำ ซึ่งเป็นกะเหรี่ยงทั้งหมด ทำให้ทราบว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ ซึ่งตั้งอยู่บนยอดดอยกวางคำ มีความสำคัญต่อหลวงปู่ไม่น้อย โดยจะเห็นได้จาก ในช่วงที่หลวงปู่ยังมีชีวิตอยู่ หลวงปู่จะแวะมาพักที่วัดพระธาตุดอยกวางคำเสมอเมื่อมีโอกาส เช่น เวลารับกิจนิมนต์ข้างนอกที่เป็นทางผ่าน หลวงปู่มักจะแวะมาฉันเพล หรือไม่ก็แวะมาพักผ่อนหลังจากเสร็จกิจนิมนต์แล้ว จึงจะกลับวัดพระพุทธบาทห้วยต้ม
ผู้เขียนเคยขออนุญาตสร้างพิพิธภัณฑ์บรรจุเนื้อกวางคำ หลังจากที่หลวงปู่ได้เล่าให้ทราบความเป็นมาของพระธาตุดอยกวางคำจากปากของหลวงปู่เอง และหลวงปู่ก็ได้อนุญาตด้วยดี ทั้งนี้โดยมี รองศาสตราจารย์ ณรงค์ อาจฤทธิ์ เป็นเจ้าภาพสร้างถวาย โดยหลวงปู่เป็นผู้แนะนำในการออกแบบ รวมทั้งกำหนดสถานที่ที่จะสร้าง ซึ่งในขณะนี้ก็ได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ข้อความที่หลวงปู่ให้บันทึกไว้บนเนื้อกวางคำที่เป็นหิน
จากการที่ได้สร้างพิพิธภัณฑ์บรรจุเนื้อกวางคำ ทำให้ผู้เขียนทราบว่า หลวงปู่มีความเกี่ยวพันกับวัดพระธาตุดอยกวางคำนี้อย่างไร โดยจะเห็นได้จาก ข้อความที่หลวงปู่ให้บันทึกไว้บนเนื้อกวางคำที่เป็นหินดังนี้ (โปรดดูภาพประกอบ)
“เนื้อพญากวางคำ ที่มาฟังเทศน์มหาเถรเจ้า หมอพรานมายิงกวางคำตาย เมื่อฟังเทศน์จบ ได้เกิดเป็นเทพบุตรกวางอยู่ชั้นดาวดึงส์ ปราสาทสูง 12 โยชน์ กว้าง 12 โยชน์ เทวดามาเป็นบริวารหลายพันองค์
พรานบ่กล่ากินเนื้อกวาง จึงกองไว้จนกลายเป็นเนื้อหิน ที่เอาบรรจุไว้ที่นี้ทั้งหมด เพื่อเป็นอนุสรณ์ ให้ลูกหลานได้กราบไหว้บูชาภายหน้าต่อไป
เทวบุตรกวางตัวนี้ได้จุติลงมาเกิดเป็นครูบาเจ้าชัยยะวงศาปัจจุบันนี้ก็บ่แน้แลนาย”
เรื่องประวัติพระพุทธบาทดอยกวางคำ
จากหนังสือธรรมปกิณกะ เล่ม 1
ขอเอาเรื่องของครูบาบางเรื่องมาเขียนไว้ เผื่อลูกศิษย์ใหม่ๆบางคนอาจจะไม่เคยทราบ บางคนทราบเรื่องแล้วก็จะได้ระลึกถึงท่าน ....
ในสมัยพระพุทธเจ้ากกุสันธะ มีพระมหาเถระเจ้าองค์หนึ่ง ธุดงค์ไปตามป่าเขา และไปสถิตอยู่บนยอดดอย (ปัจจุบันนี้เรียกว่าขุนห้วยโป่งแดง) พระมหาเถระเจ้าก็บำเพ็ญเมตตาภาวนาอยู่ในระยะใกล้รุ่ง ท่านก็สวดมาติกาและอภิธรรม ณ ที่นั้น
ในขณะที่ท่านกำลังสวดอยู่ มีพรานเนื้อกลุ่มหนึ่งไปล่าเนื้อในป่า ก็ไปพบ พญากวาง เมื่อพญากวางตัวนั้น เห็นพรานเนื้อหมู่นั้น ก็กลัวพวกพรานทั้งหลาย จะทำร้ายต่อบริวาร ก็โดดหลอกล่อ ออกไปให้ห่างจากฝูง
วิ่งขึ้นไปบนจอมเขา พอไปถึงบริเวณที่ใกล้พระมหาเถระสวด พญากวางก็ได้ยินเสียงพระมหาเถระเจ้า ก็ดักนิ่งฟังอยู่ มันเข้าใจว่าคำนี้เป็นคำของพระพุทธเจ้า มันก็ฟังอยู่ถูกใจมาก
ส่วนพวกพรานเนื้อติดตามเข้ามาไม่ใกล้ไม่ไกลกวางตัวนั้นเท่าไร ก็เห็นกวางตัวนั้น แต่ว่าเขาไม่เห็นพระมหาเถระเจ้า หมอพรานก็ยกธนูยิงกวางตัวนั้น ลูกธนูก็ถูกใส่กวาง ส่วนพญากวางก็ไม่รู้ว่าถูกยิงเพระว่ากำลังฟังเทศน์เพลินอยู่
เมื่อพระมหาเถระสวดจบ พญากวางก็ลืมตาขึ้นนึกว่า สาธุยินดีซึ่งธรรมะของพระพุทธเจ้า เมื่อรู้ตัวก็เป็นเทวบุตรอยู่ชั้นฟ้าดาวดึงษา อยู่ปราสาทวิมานทองคำสูง 12 โยชน์ กว้าง 12 โยชน์ อยู่เสวยบุญเป็นเทวบุตร ตายจากชั้นฟ้า ก็ลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พยายามสร้างบารมีอยู่จนกว่าจะได้เป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในภายหน้า
ในขณะที่หมอพรานยิงกวางตาย พระมหาเถระเจ้าก็เดินไปดูกวางตัวนั้น และทักว่า
"หมอพรานทั้งหลาย ยิงกวางตัวนี้ทำไม กวางนี้ไม่ใช่กวางธรรมดาสามัญ เป็นพญากวาง กำลังฟังเทศน์อยู่ เจ้าก็มายิงมันตาย เดี๋ยวนี้พญากวางก็ไปเกิดเป็นเทวบุตร อยู่บนชั้นฟ้าดาวดึงษาโน้นแล้ว พวกเจ้าทั้งหลายนี้ ทำไมไม่มีความเมตตา มายิงกวางตัวนี้ตายไป"
ส่วนพวกกรานทั้งหลายก็นมัสการกราบไหว้พระมหาเถระเจ้า และขอให้พระมหาเถระเจ้ายกโทษแก่พวกเขาทั้งหลาย เพราะความไม่รู้
โดยบอกว่า "ข้าพเจ้าทั้งหลายก็เป็นหมอพราน ต้องล่าสัตว์เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอยู่อย่างนี้แหละ"
พระมหาเถระเจ้าก็เทศน์เรื่องบาปเรื่องกรรมทั้งหลายให้หมอพรานฟัง แล้วก็ให้หมอพรานทั้งหลายรับศีล 5 พวกพรานทั้งหลายก็กลัวบาป กลัวโทษ กลัวกรรม และตั้งใจจะทิ้งธนูเสียหมดทุกคน พร้อมทั้งขอรับศีล 5 กับพระมหาเถระเจ้า แล้วก็ขออนุญาตพระมหาเถระเจ้าว่า
"ข้าพเจ้าได้ยิงกวางตายเสียแล้ว ข้าพเจ้าขออนุญาตเอาชิ้นเนื้อกวางไปกิน แต่ว่าต่อไปจะไม่ทำอีก"
มณฑปที่สร้างครอบชิ้นเนื้อกวางคำที่กลายเป็นหิน
พระมหาเถระเจ้าก็ว่า "ตามใจเถอะ"
หมอพรานทั้งหลายก็ปาดเนื้อกวางตัวนั้นออกเป็นชิ้นๆ แล้วก็ปันให้แก่พรรคพวกเดียวกัน คนละชิ้น ส่วนเขากวางและกระดูกกวาง พระมหาเถระเจ้าก็ขอเอาไปบรรจุไว้ในอุโมงค์หลุมลึก 4 ศอก ที่ข้างวัดนั้น
ต่อมาวัดนั้นก็เรียกว่า วัดพระธาตุดอยกวางคำ จนถึงปัจจุบัน
ส่วนชิ้นเนื้อพญากวางที่หมอพรานหาบไป ต่างคนต่างคิดว่าเราจะทำอย่างไร กวางนี้เขาฟังเทศน์เราจะกินเนื้อเขาก็ไม่ดี เราเอามาบรรจุรวมไว้เป็นจุดเป็นกองเสีย ในเนินดอยที่นี่ดีกว่า
ดังนั้นพวกหมอพรานต่างคนต่างเอาชิ้นเนื้อกองไว้ ชิ้นเนื้อนั้นก็เป็นหินมาจนถึงทุกวันนี้
บริเวณบนจอมเขานั้น หมอพรานก็ขอพระมหาเถระเจ้าให้ประทับรอยพระบาทไว้ พระมหาเถระเจ้าก็เหยียบรอยพระบาทไว้ให้พวกพรานทั้งหลายได้ไหว้และสักการบูชาต่อไปจนถึงในยุคปัจจุบันนี้
ใน พ.ศ. 2521 อาตมา (พระชัยยะวงศา) ได้แนะนำพวกกระเหรี่ยงให้ขึ้นไปที่จอมเขานั้น ก็เห็นรอยพระบาทมหาเถระเจ้า และได้ชวนกันสร้างตึกครอบพระบาทไว้เพื่อเป็นที่กราบไหว้ และสักการบูชา
พ.ศ. 2522 พวกกระเหรี่ยงบ้านหัวขัว และโป่งแดง พร้อมใจกันนิมนต์อาตมา เป็นประธานก่อสร้างพระเจดีย์ไว้จอมดอยที่นั้นซึ่งเป็นที่ฝังหัวกวาง
|