บทที่ 4 ธรรมชาติความเก่า
หลังจากที่ท่านผู้อ่านได้ศึกษาถึงพิมพ์ทรงซึ่งเป็นพื้นฐานในบทที่ 3 ผ่านมาแล้ว เราก็จะมาเริ่มในบทที่4ซึ่งจะมีความยากขึ้นไปอีกขั้น หนึ่ง โดยปกติทั่วไปแล้วเมื่อเซียนพระจะเลือกหยิบพระองค์ใดองค์หนึ่งขึ้นมาส่อง เขาก็ต้องมองดูในขั้นแรกแล้วว่าพระองค์นั้นน่าจะแท้ ที่เขาคิดและเข้าใจว่าพระองค์นั้นน่าจะแท้ ก็เป็นผลมาจากที่เขาได้พิจารณาเห็นว่าพิมพ์ทรงของพระองค์นั้นถูกต้อง เราจึงเรียกได้ว่าเซียนพระใช้ความรู้ในบทพื้นฐานมาแยกแยะเก๊แท้ในขั้นแรก และอันดับต่อไปเขาก็จะมาพิจารณาถึงธรรมชาติความเก่า
ธรรมชาติความเก่าก็คือ สิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ผ่านการเวลามาเนินนาน ความเก่านั้นย่อมต้องเป็นไปด้วยธรรมชาติ ไม่ได้เป็นไปด้วยน้ำมือมนุษ เพราะธรรมชาติความเก่าไม่ได้เกิดขึ้นมาเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลาหลายสิบปีหลายร้อยปีจึงจะมีความเก่าเกิดขึ้น ธรรมชาติความเก่าในพระกรุก็เหมือนกัน บทที่4 นี้ผู้เขียนมุ่งหวังอยากจะให้ผู้เรียนได้เข้าใจถึงธรรมชาติความเก่าที่เกิดขึ้นในองค์พระว่ามีอะไรบ้างและมีลักษระแบบใหนเพื่อที่จะนำมาประกอบการตัดสินเก๊แท้ในองค์พระนั้นๆ
ธรรมชาติความเก่าอันแรกที่ผู้เขียนอยากจะอธิบายถึงก็คือ คราบกรุ
คราบกรุ ก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการเวลาที่พระได้ถูกเก็บรักษาและผ่านพ้นมาหลายร้อยปี ทำให้พื้นผิวบนองค์พระภายนอกถูกห่อหุ่มด้วยสิ่งต่างๆ คราบกรุในที่นี้อาจจะเกิดได้จากหลายปัจจัยหลายสาตุ และหลายแบบ ทั้งจากภายนอกและภายใน ภายนอกเช่น ดิน , รา ภายในเช่น สนิม, ฝ้า ,ใข เป็นต้น ก่อนที่ท่านจะได้ศึกษาถึงคราบกรุแต่ละชนิด ขอให้ท่านเข้าใจก่อนว่า การสร้างพระกรุและการเก็บรักษาพระคนโบราญเขาให้ความสำคัญมาก เมื่อสร้างสร็จแล้วก่อนที่จะบรรจุลงกรุนั้นเขาต้องมีภาชนะมารองรับ จะเป็นให หรือเป็นโถ อะไรก็แล้วแต่ เมื่อบรรจุพระลงในภาชนะเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะนำไปไว้ในเจดีที่สร้างขึ้น พระเหล่านั้นจึงถูกเรียกว่าพระกรุ เป็นไปไม่ได้เลยว่า พระจะมีคราบกรุในลักษณะที่มีขี้ดิน หรือหิน หรือกรวด ไปเกาะจับบนองค์พระอย่างหนาแน่น ถึงแม้ว่าเจดีหรือกรุเหล่านั้นแตกออกมา พระตกกระจัดกระจายตามพื้นดิน ในพระแท้ๆท่านก็จะไม่พบดิน หิน สราย กรวด ไปเกาะแบบเต็มลกองค์พระไปหมด คราบกรุของแท้จะเป็นแบบบางๆ หรือถ้าจะหนาก็ไม่ได้เต็มองค์จนมองพระแทบไม่เห็น ดังนั้นถ้าท่านพบเจอพระกรุที่มีลักษณะดังที่กล่าวมาแล้วไม่จำเป็นต้องหยิบขึ้นมาส่งให้เสียเวลา ลักษณะคราบกรุอย่างแรกที่เราจะศึกษานั้นก็คือ
|