พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
อู้ได้ซะป๊ะเรื่อง

ข้อมูลเกี่ยวกับ ตะกรุด ครูบาชุ่ม โพธิโก ฉบับเต็ม


ข้อมูลเกี่ยวกับ ตะกรุด ครูบาชุ่ม โพธิโก  ฉบับเต็ม

   
 

ขอกราบไหว้สา   ครูบาชุ่ม ในฐานะพระอริยสงฆ์แห่งลานนา  และเป็นอาจารย์แห่งคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก  ผู้ให้ธรรม และแนวทางอาณาปณสติต่อจากหลวงปู่พรหม วัดช่องแค  รวมถึงพระคุณที่ท่านเมตตาให้ ฉายา  โพธิโก   มาเป็นชื่อแห่งคณะฯ  

            ความตั้งใจและข้อมูลที่ผมได้ลงไป ขอท่านครูบาได้ทราบและอนุโมทนาให้พร   แต่หากผมมีเจตนาที่ไม่ดีนำข้อมูลที่ผิดเพี้ยนมาลง เพื่อประโยชน์ส่วนตัวในทางการค้าหรือทางใดก็ดี     ขอความวิบัติจงมีแก่ผมโดยพลัน    และเช่นเดียวกันหากแม้มีใครนำข้อมูลที่ผิดเพี้ยนมาลงเพื่อประโยชน์หรือปกป้องผลประโยชน์อย่างใด อันทำให้เกิดความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนในวัตถุมงคลของครูบา ก็ขอให้ผู้นั้นได้รับผลกรรมที่ได้ทำไว้โดยพลันเช่นกัน

ขอขอบพระคุณ ผู้ให้ข้อมูล และหลักฐาน  โดยเฉพาะข้อมูลจากบันทึกของอาจารย์หมอ สมสุข คงอุไร  อาจารย์แห่งคณะศิษย์รัศมีพรหมโพธิโก ที่ได้จากการสอบถามครูบาชุ่มด้วยตัวท่านเอง  และเจ้าของตะกรุดทั้งหลายที่กรุณา เสียสละเวลา ถ่ายรูปตะกรุดของท่าน และส่งมา เพื่อเปรียบเทียบลักษณะและได้ร่วมให้ข้อมูลครั้งนี้โดยเฉพาะ 

และขอบคุณทุกท่านที่ได้เข้ามาชมในกระทู้นี้  และขอบคุณหลายๆสายที่ได้โทรมายืนยันข้อมูลที่ตรงกันและให้กำลังใจ    เดิมทีเดียวตั้งใจว่าจะยุติเรื่องนี้แล้วเพราะถือว่าได้ให้ข้อมูลไปแล้ว  แต่มีผู้ที่เคารพนับถือ   ขอให้สรุป ไว้หน่อย   ก็เลยต้องขออนุญาตตั้งกระทู้นี้   

 

ผมจึงขอสรุป เรื่องตะกรุด ครูบาชุ่ม   ตามข้อมูลและพยานหลักฐาน   ดังนี้ นะครับ

 

1ตะกรุดหนังลูกควายตายพรายมีต้นตำรับสายวิชามาจากเมืองน่าน  ซึ่งในยุคนั้น โซนจังหวัดน่านมีผู้ก่อการร้ายชุกชุม(พื้นที่สีแดง)  ครูบาอาจารย์สมัยนั้น จึงเน้นสร้างเครื่องรางของขลัง ที่เกี่ยวกับ มหาอุด คงกระพัน โดยตะกรุดหนังฯ เป็นตะกรุดที่นิยมสร้างกันมากในเขต แพร่ น่าน โดยในยุคนั้น  ผู้ที่มีชื่อเสียงที่สุดถือว่าเป็นดั่งปรมาจารย์ทางวิปัสสนา และพระเวทย์(เปรียบเสมือน อ. ทองเฒ่า แห่งสำนักเขาอ้อ) อยู่ทาง จ.แพร่ เป็นสหธรรมิก ของครูบาเจ้าศรีวิชัยและวิชาที่โดดเด่น คือการทำตะกรุดหนังลูกควายตายพราย คือ  พระมหาเมธังกร  วัดน้ำคือ จ.แพร่ ครูบาชุ่มท่านได้ทราบชื่อเสียงของ พระมหาเมธังกร(หลวงปู่หมา)ในคราวที่ตามครูบาเจ้าศรีวิชัย มาบูรณะวัดพระธาตุช่อแฮ พระธาตุประจำปีเกิดครูบาเจ้า ศรีวิชัย จนเมื่อปลงพระศพสรีระครูบาเจ้าศรีวิชัยแล้ว ครูบาชุ่มท่านเดินทางมาศึกษาวิชากับหลวงปู่พระมหาเมธังกรเป็นเวลา 2ปี

 

2.  ครูบาชุ่ม ท่านได้ เรียนวิชานี้ มาจาก พระมหาเมธังกร   โดยมีศิษย์ร่วมเรียนกัน (ทั้งรุ่นพี่และรุ่นน้อง ) ที่มีการค้นคว้ามาพอได้สังเขปคือ

                  1.ครูบา สิทจิ๊ ไจยา (เป็นพ่อครู ของครูบาอินสม วัดเมืองราม จ.น่าน)

                  2.ครูบา อินต๊ะวงค์ปู๋เผือก วัดแสงดาว จ.น่าน

                  3.ครูบา กั๋ญจ๊ะณะวงค์  วัดม่วงตึ๊ด

                  4.ครูบา ขัตติยะวงค์ วัดท่าล้อ จ.น่าน

                  5.ครูบา ญาณะ วัดสวนดอก ( ผู้เป็นพ่อครูบาอาจารย์ ของครูบา สุทธะวงค์(บุญทา) ใจเฉลียว หรือครูบาวัดดอนตัน  ท่าวังผา จ.น่าน )

                  6.ครูบา สุทธะวงค์(บุญทา) ใจเฉลียว หลวงพ่อวัดดอนตัน ท่านก็ทำตะกรดหนังพอกครั่งเช่นกัน แต่ท่านสืบตำรามาจาก ครูบา ญาณะ วัดสวนดอก ไม่ได้สืบตำรากับพระมหาเมธังกรโดยตรง

                  7.ครูบา อาทะวงค์ วัดน้ำปั๊ว อ.สา จ.น่าน

                  8.ครูบา ธรรมจัย วัดศรีนาป่าน

                  9.ครูบา พรหมมา วัดบ้านก๋ง ท่าวังผา จ.น่าน (ครูบาวัดบ้านก๋ง ผู้เป็นอาจารย์ ของครูบา มนตรี วัดพระธาตุศรีสุโทนมงคลคีรี อ.เด่นชัย จ.แพร่ )

                 10.ครูบา อินสม วัดเมืองฮาม (เมืองราม)

                 11. ครูบา ปัญญา วัดซ้อ

                 12.ครูบา บุญเยี่ยม วัดเชียงของ อ.นาน้อย

                 13.ครูบา วงค์  วัดเชียงของ อ. นาน้อย

                 14.ครูบา อินต๊ะยศ วัดไทรหลวง

                 15.ครูบา อินหวัน วัดอภัยคีรี ( พ่อครูอาจารย์ของ ครูบา วัดศรีบุญเรือง)

                 16.ครูบา วัดศรีบุญเรือง จ.น่าน ท่านก็สร้างตะกรุดหนังและสืบตำรามาจาก ครูบา อินหวัน

ครูบาที่เอ่ยนามมานี้ท่านได้สร้างตะกรุดหนังมาเหมือนกัน รวมทั้งที่ยังไม่ได้เอ่ยนามอีกมาก ซึ่งในยุคนั้นเป็นยุคที่เก่าตรงสมัยกับ หลวงปู่มหาเมธังกร และหลวงปู่ ชุ่ม โพธิโก อีกด้วย

 

*********ตามข้อ 1-2 สามารถสอบถามข้อเท็จจริงได้จาก ผู้ที่ใช้นามปากกาว่า หนานบุญแห่งเมืองงาช้างดำ ผู้ศึกษาข้อมูลเรื่องราวเวทย์มนต์ เครื่องรางล้านนามาเป็นเวลาร่วม 30ปี และยังได้รับการขอร้องให้เขียนเรื่องอักขระเลขยันต์เครื่องรางสายล้านนาลงในหนังสือ อุณมิลิต. และยังเป็นผู้ที่ออกมาโต้แย้งเรื่อง ผ้ายันต์พระสิหิงค์หลวง ที่มีเซียนบางคนบอกว่าเป็นยันต์ทัพหลวง แต่สุดท้ายก็จนด้วยพยานหลักฐานจนยอมรับว่าเป็นผ้ายันต์พานครู ตามที่ท่านโต้แย้งไว้    อีกทั้งท่านยังเป็นต้นทางข้อมูลและรังใหญ่เครื่องรางของขลัง ที่แม้แต่เซียนเครื่องรางใหญ่ในส่วนกลางและของลานนา ยังแวะเวียนไปขอความรู้และพยายามขอแบ่งของจากท่านเสมอ ( อภิมหาเซียนเครื่องรางล้านนาท่านหนึ่ง ลองไตร่ตรองนึกดูว่าได้เคยไปขอแบ่งผ้ายันต์พระสิหิงค์หลวงจากท่านบ้างหรือเปล่า) ท่านกรุณาให้เบอร์โทรไว้ คือ  082662519..สำหรับผู้ที่ต้องการทราบข้อมูลเพิ่มเติม  รวมถึงวิธีการใช้ตะกรุดหนังฯ ตามตำราโบราณที่ท่านได้เก็บรักษาไว้  และถ้าโชคดีท่านอาจได้เห็นอักขระในตำราโบราณ  ที่ตรงกันกับอักขระที่ลงในตะกรุดหนังฯ ครูบาชุ่ม ก็ได้

 

3.  โปรดใช้วิจารณญาณไตร่ตรองว่า  ตะกรุดหนังฯที่ทำในยุคนั้น โดยครูบาอาจารย์ท่านอื่นตามข้อ 2 นั้น  ณ ปัจจุบัน จะมีอายุอานามเท่าไหร่ จะปรากฏ ธรรมชาติความเก่าหรือไม่

 

4.  ในส่วนของครูบาชุ่ม  หลังจากที่ได้ศึกษา  วิชาการทำตะกรุดหนังฯ มาแล้ว  ท่านยังไม่ได้ทำตะกรุด เพราะว่ายังไม่พบหนังลูกควายตายพรายตามตำรา   จนมาเมื่อปี 248 กว่า  และปี 2510 ,  2518 ,  2519   ท่านจึงได้สร้างตะกรุดหนังฯขึ้นมา เพราะได้หนังลูกควายตายพรายตามตำรามา  ( ได้หนังฯมา 4 ครั้ง  แต่ละครั้ง ได้หนังมาประมาณ ฟุตกว่า ๆ เพราะเป็นหนังลูกควายที่ตายขณะอยู่ในท้องนะครับ ตัวไม่โตนะครับ บางคนเข้าใจว่าเอาทั้งแม่และลูกควาย ขอย้ำ เอาเฉพาะลูกควายที่อยู่ในท้องแม่นะครับ  และในปี 2519  ได้หนังลูกควายตายพรายมีลักษณะ 8 ขา 4 เขาและเป็นควายเผือกมา )  รวมทำทั้งหมดไม่เกิน 400 ดอก 

 

***ในส่วนนี้ได้ข้อมูลจากพ่ออุ้ยปั๋น  และบันทึกของอาจารย์หมอ สมสุข  คงอุไร  ที่ได้สอบถามจากครูบาชุ่ม  ด้วยตัวเอง***

 

 

5.  เพื่อให้ลักษณะของตะกรุด แตกต่างกับของ ครูบาอาจารย์ท่านอื่น   ครูบาชุ่ม จึงได้ สร้างตะกรุดให้เป็นเอกลักษณ์ คือ ปิดทอง และ ทาทอง  ( การปิดทองทำในยุคต้น  ส่วนการทาทองทำในตระกรุดยุค 2518 ,2519 เพราะมีสีทองจากการบูรณะวิหารอยู่  ส่วนจะเอาไปแจกใคร  จะตั้งชื่อรุ่นว่าอะไร เป็นเรื่องของคนยุคหลังที่กล่าวอ้างกันเอง ไม่เกี่ยวกับท่านครูบานะครับ)  และลักษณะรูปทรงของตะกรุดจะเป็นเอกลักษณ์    วิธีการสร้างตะกรุดก็คือ.

                      1.เมื่อได้หนังลูกควายตามตำราแล้วต้องมีการพลีเพื่อขอศพลูกควาย  จากศพแม่ก่อน( ตำราต้นฉบับกล่าวไว้)แล้วนำหนัง มาฟอกล้างให้สะอาดแล้วนำมาผึ่งให้แห้ง

                      2.นำหนังมาวัดกะจำนวนปริมาณของดอกตะกรุดว่าจะได้สักกี่ดอก แล้วตัดหนัง เมื่อตัดแล้ว ลงอักขระที่หนังแต่ละดอกว่า  “ พุทธังอัด ธัมมังอัด สังฆังอัด อุดธังอัดโธอัด ฆะขาขาขาขา ฆะพะสะจะ กะพะวะกะหะ”

พุทธังอัด ธัมมังอัด สังฆังอัด อุดธังอัดโธอัด( มหาอุตย์ หยุดปืน ปืนแตก )

ฆะขาขาขาขา (ข่าม เหนียว กันงูเงี้ยว เขี้ยวขอ กันเขา กันปืน กันมีด)

ฆะพะสะจะจะ ( หัวใจข่าม คงกระพัน สารพัดกัน )

กะพะวะกะ (หัวใจ ฟ้าฟี๊ก คลาดแคล้ว ปลอดภัย กันสิ่งไม่ดี)

                       3. นำทองแดงมาเป็นแกนกลางเพื่อจะได้พันหนังได้ง่ายไม่เสียรูปทรง เสร็จแล้วนำ เชือก  เส้นในสายไฟ หรืออะไรก็ได้ ที่แทนเชือกได้มาพันให้แน่นกับทองแดง

                      4.นำครั่งมาพอกไว้เพื่อทำเป็นรูปทรงเดียวกัน(แบบหนำเลี๊ยบ)แล้วนำเชือกสีแดงหรือเหลืองมาร้อยไว้

******โปรดสังเกตตามหลักฐานภาพถ่าย ว่าตะกรุดตามภาพที่นำมาลง  ลักษณะตะกรุดจะเป็นแบบเดียวกัน  และที่สำคัญ จะไม่มีลูกคั่น หรือตะกรุดอื่นคั่นแต่อย่างใด*****

 

6.  ตะกรุดอื่นที่ท่านสร้างคือ  ตะกรุดปรอท, ตะกรุดเสื้อยันต์แบบ 12 ดอก , ตะกรุดยันต์แหนบ ยันต์หนีบ, ตะกรุดเด็ก , ตะกรุดแม่ยิง   ส่วน  ตะกรุด กาสะท้อน  , ตะกรุดขาปิ่นโตพอกครั่ง, ตะกรุดลูกอมพอกครั่ง , ตะกรุดไม้ไผ่ต่าง วัวธนูพอกครั่ง หรือตะกรุดอื่นๆ ท่านไม่ได้สร้างนะครับ

 

*****ข้อสังเกต 1.ในปัจจุบัน  นักค้าขายพระเครื่องที่ไม่ทราบข้อมูลที่แท้จริง หรือมีเจตนาแอบแฝง พอพบเจอ ตะกรุดอะไรก็ตาม เพียงแต่มีลักษณะพอกครั่งเก่าๆก็ตีเป็นของครูบาชุ่ม  เพื่อเหตุผลด้านราคา   ทั้งๆที่ตะกรุดดอกนั้นอาจเป็นตะกรุดของครูบาอาจารย์ผู้มีวิทยาคมท่านอื่นในยุคเก่า ได้สร้างไว้ก็เป็นได้  และขอให้ข้อสังเกตเพิ่มว่าตะกรุดทั้งหลายที่กล่าวอ้างว่าเป็นของครูบาชุ่มนั้น  หากลองเอาของหลายๆเจ้าที่ได้กล่าวอ้างว่าเป็นของครูบาชุ่ม มาวางเรียงกัน จะพบว่ามีลักษณะสัณฐานที่แตกต่างกันมากทีเดียว  

                      ลองนึกเทียบกับเครื่องรางของขลังที่ส่วนกลางเขายอมรับ เช่น ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม เบี้ยแก้หลวงปู่รอด หรือเครื่องรางอื่นที่เป็นที่นิยมของวงการ ทำไมเขาถึงยึดลักษณะการถัก รวมถึงรูปพรรณสัณฐานที่เหมือนกันละครับ 

                     2. ในกรณีตะกรุดพอกครั่งเก่าๆ ผู้เขียนเชื่อว่า น่าจะเป็นของครูบาอาจารย์ตาม ข้อ2. ที่ได้เรียนวิชาทำตะกรุดมาก่อน ,มาพร้อม,หรือภายหลังท่านครูบาชุ่ม  ดังนั้นจึงน่าจะมีพุทธคุณตามตำราที่ได้ระบุไว้ ทั้งนี้เพราะเป็นการสร้างด้วยเจตนาบริสุทธิ์ของพระอริยสงฆ์

                    3.ในกรณีตะกรุดปรอท  ผู้เขียนให้ให้ข้อมูลไปในกระทู้..โชว์พระเกจิลานนา.กระทู้ที่.20699...และในครั้งนี้ได้ลงภาพถ่ายในขณะครูบาชุ่มคล้องตะกรุดปรอทให้แก่ลูกศิษย์มาด้วย  แบบนี้หรือเปล่าที่เซียนเรียกว่า  รับมากับมือ     และโปรดสังเกตุลักษณะของตะกรุดปรอทให้ดีนะครับท่านจะเห็นความจริง

 

 

7. ถามว่ามีเกจิอาจารย์ท่านอื่น  หรือแม้แต่ลุงปั๋น ซึ่งเป็นหลานครูบาชุ่มได้สร้างตะกรุดในลักษณะคล้าย  ของครูบาชุ่ม ( คือมีลักษณะสัณฐาน และการลงทองปิดทอง) หรือไม่  ตอบว่ามี   แล้วถามว่าจะดูยังไง  ก็ตอบว่า ขอให้ท่านได้เห็นตะกรุดหนังฯครูบาชุ่มเพื่อเป็นดอกครู ไวๆ  แล้วพิจารณาตะกรุดที่พบเจอหรือจะเช่าด้วยปัญญา   ซึ่งก็ขอให้ความโชคดีจงมีแด่ท่าน

 

8.  ผมไม่มีตะกรุดหนังฯ หรอกนะครับ ไม่ต้องโทรมาถามบูชา  

 

9.   ผมไม่ใช่เซียนเครื่องราง หรือรู้จักเซียนขายเครื่องรางใดๆ เป็นการส่วนตัว  และผมก็ตระหนักดีครับว่า  การลงข้อมูลในครั้งนี้ ไม่มี ได้  หรือ เสมอตัวหรอกครับ  มีแต่เปลืองตัว  แต่ที่ผมต้องลงข้อมูล ก็เพราะเคารพศรัทธาในครูบาชุ่ม   วันนี้หรือวันไหนที่ผมได้ระลึกถึงท่านครูบา หรือแม้ขณะมองภาพถ่ายของครูบา   ผมก็ภูมิใจครับว่า ยังได้ทำอะไรเพื่อถวายท่านบ้าง

 

10.ผมนำประวัติเครื่องรางครูบาชุ่มมาลงให้ทราบเป็น ก็เพราะแหล่งข้อมูลที่ได้มา มีพยานหลักฐานเป็นที่น่าเชื่อถือได้ เช่น

**ข้อมูลจากบันทึกอาจารย์หมอสมสุข  คงอุไร   ซึ่งได้บันทึกเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคลของครูบาชุ่ม ซึ่งได้สอบถามจากครูบาชุ่มด้วยตัวท่านเอง ครั้งเมื่อครูบาชุ่มได้มาพักที่บ้านอาจารย์ หมอ ฯ ที่บ้านสะพานเหลือง (ปรากฏหลักฐานตามภาพถ่ายครูบาชุ่มที่ได้ลงไว้ด้านล่าง) อย่างนี้ จะเรียกว่าเป็นข้อมูลชั้นต้นได้หรือไม่   หรือการที่ได้สอบถามจากครูบาชุ่มด้วยตัวเองแล้วมีบันทึกไว้นี้    เป็นแค่พยานบอกเล่าต่อๆกันมา  อันทำให้ขาดน้ำหนักแห่งพยานหลักฐานไป

                  ที่อาจารย์หมอ ฯได้บันทึกไว้นี้  ก็เป็นบันทึกอย่างเดียวกันกับ ที่ท่านได้บันทึกถึงการที่หลวงปู่พรหม วัดช่องแคผม อนุญาตให้ท่านสร้างวัตถุมงคลชุดทองระฆังของหลวงปู่  รวมถึงชุดเนื้อผงต่างๆ ตั้งแต่ปี 2514  ทั้งชนิด จำนวน และการสร้าง  ซึ่งเป็นที่ยอมรับของผู้นิยมพระทั่วทั้งประเทศ

                 **.หลักฐานตามภาพถ่ายที่ปรากฎ  ท่านย่อมเห็นว่าเป็นรูปถ่ายที่แท้จริง มิได้เป็นการตัดต่อ  และขอเรียนว่าภาพทุกภาพ เพิ่งออกสู่สายตาประชาชน ใน เวปพระลานนาแห่งนี้เป็นที่แรก  ในบางภาพท่านจะสามารถเห็นได้ถึงลักษณะของวัตถุมงคลครูครูบาชุ่มได้อย่างชัดเจน  เรียกว่า เห็นอยู่ในมือครูบาท่าน จะๆ 

                 **นอกจากนี้ ในสายท่านเจ้ากรมเสริม ซอย สายลม ซึ่งเป็นศิษย์สายท่าซุง ก็ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการสร้างวัตถุมงคลของครูบาชุ่ม ถูกต้องตรงกัน  ตามที่ได้มาลงให้ท่านทราบนี้  ( เมื่อครูบาชุ่มท่านลงมา กทม. ท่านจะพักอยู่สองที่ คือบ้านสะพานเหลือง ของอาจารย์หมอสมสุข ฯ  และบ้านเจ้ากรมเสริม ฯ นี่แหละครับ)    

                      และที่สำคัญ ทุกๆท่านที่ให้ข้อมูล ต่างยินดี และอนุโมทนาที่ได้นำข้อมูลนี้มาลง ข้อมูลที่ถูกต้องอันเป็นการรักษาเกียรติของท่านครูบาชุ่ม  อีกทางหนึ่ง

                      เหนือสิ่งอื่นใดผมทราบดีว่าการลงครั้งนี้ไม่อาจทำให้ท่านกลับมาเชื่อในวันเดียวได้ เพราะในวงการเครื่องรางลานนา เขาเล่นแบบนี้ และเชื่อแบบนี้มานานมาก

 

11.  ในส่วนของท่านผู้อ่านไม่มีใครไปบังคับท่านได้หรอกครับว่าจะให้เชื่อในทางไหน   ทุกท่านย่อมมีวิจารณญาณของตัวเอง   เงินเป็นของท่านเองจะใช้จ่ายไปทางไหนก็แล้วแต่ท่าน  จะเช่าหา  ก็เพราะ  คำขึ้นต้นว่า  กาลครั้งหนึ่ง.....(นิทาน)  ก็ตามแต่ท่าน  หรือชอบที่จะเล่นเอาเฉพาะความเก่า แล้วเป็นขุนหลวงหาวัด  หรือจะเอาแบบประเภทที่เซียนเขาบอกว่า “แบบนี้ขายได้  แต่เอาใช้ไม่ได้”  ก็ตามแต่ท่าน

 

 

ท้ายนี้ขอบารมีครูบาชุ่ม จงปกปักรักษาท่าน  ให้พ้นจากบ่วงมารทั้งปวง   หากแม้มีจิตศรัทธา ในตะกรุด ของท่านครูบา  ขอท่านได้สมปรารถนาโดยเร็ว

 

 

*****

ธันชนก  

วันพระ   15 มี.ค. 2555 

 
     
โดย : ธันชนก   [Feedback +11 -0] [+0 -0]   Thu 15, Mar 2012 13:07:16
 








 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 1 ] Thu 15, Mar 2012 13:09:02









 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 2 ] Thu 15, Mar 2012 13:10:40





 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 3 ] Thu 15, Mar 2012 13:12:42









 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 4 ] Thu 15, Mar 2012 13:13:53









 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 5 ] Thu 15, Mar 2012 13:15:04









 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 6 ] Thu 15, Mar 2012 13:16:03









 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 7 ] Thu 15, Mar 2012 13:17:21





 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 8 ] Thu 15, Mar 2012 13:18:10









 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 9 ] Thu 15, Mar 2012 13:19:32





 
 
โดย : ธันชนก    [Feedback +11 -0] [+0 -0]   [ 10 ] Thu 15, Mar 2012 13:22:47

 

 

ขอบคุณครับ  สำหรับข้อมูลเฉพาะในส่วนที่เพิ่มขึ้นจากข้อมูลแรกส่วนแรกของท่านที่ผมได้อ่านมา 

ข้อมูลในส่วนแรกของท่าน   ก็ทำให้ผมไขว้เขวเหมือนกันนะ  แต่ผมเลือกที่จะไม่เชื่อข้อมูลของท่านในทันที   ต้องได้ฟังแนวคิดดั้งเดิม เสียก่อน  ว่าน่าเชื่อเพียงใดหรือไม่  และเมื่อฟังข้อมูลส่วนที่มีเพิ่มของท่านแล้ว  ผมก็ยังต้องวิเคราะห์อยู่ดีว่าจะเลือกเชื่อฝ่ายใด   จำเป็นที่ผมต้องวิเคราะห์   หาข้อสรุปของแนวคิดทั้งสองฝ่าย   สุดท้ายผมก็เลือกที่จะเชื่อแนวคิดดั้งเดิม  ไม่เชื่อแนวคิดของท่าน(ส่วนท่านอื่นๆจะใช้หลักวิเคราะห์อย่างใดก็เป็นสิทธิส่วนตัวแต่ละคน  ว่าใช้หลักวิเคราะห์ที่สมเหตุสมผลหรือไม่  ได้รับฟังหรือพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญหรือยัง)

ประเด็นสำคัญ  คือท่านได้ฟังแนวความคิดเห็นของอีกฝ่ายหรือความเห็นของผู้เชี่ยวชาญหรือยัง     หากท่านได้ฟังแล้ว  ส่วนตัวท่านจะเชื่อหรือไม่เป็นสิทธิของท่าน  แต่การที่ท่านจะจูงใจให้คนหมู่มากที่มีความเชื่อในแนวคิดดั้งเดิมที่มีความเชื่อมาอย่างยาวนาน  เปลี่ยนแนวคิดให้หันมาเห็นคล้อยตามแนวความคิดของท่าน  ก็ขอความกรุณาท่านให้เหตุผลด้วยว่า จากการที่ได้พูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญในแนวคิดเดิมแล้วมันไม่ถูกต้องหรือผิดเพี้ยนอย่างไร  

การที่ท่านรับฟังข้อเท็จจริงของฝ่ายท่านอย่างเดียว  แล้วมาสรุปจูงใจให้คนเชื่อตามท่าน   ดูมันจะไม่ยุติธรรมกับอีกฝ่ายหนึ่งไป  คนเราจำต้องมีจิตใจที่เป็นธรรม  ฟังความเห็นของฝ่ายเรา ฝ่ายเขา  ฝ่ายที่เป็นกลาง   โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเห็นของฝ่ายผู้เชี่ยวชาญที่เป็นที่ยอมรับของคนในสังคมส่วนมาก (ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญจอมปลอม)  และองค์ประกอบรวมอื่นๆอีกด้วย

ผมก็เคยเรียนกับท่านมาครั้งหนึ่งแล้ว  ว่ายินดีจะให้เบอร์โทรศัพท์ของท่านผู้เชี่ยวชาญ(อาจารย์วิลักณ์   ศรีป่าซาง)  เพื่อให้ท่านรับฟังข้อมูลให้ครบทุกๆฝ่าย  รวมทั้งต้องรับฟังฝ่ายผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน (พราะความเห็นของฝ่ายผู้เชี่ยวชาญถือว่ามีน้ำหนักมากๆที่จูงใจให้ผมเชื่อเช่นนั้น)    จึงสรุปหลักและเปลี่ยนแนวคิดที่มีมาแต่เดิมอย่างยาวนานให้คนอื่นเชื่อตามท่าน   

ท่านจะสาปแช่งผม  ผมก็ไม่ว่าครับ  เหตุเพราะผมทำเพื่อประโยชน์แก่ทุกๆคนแห่งแดนล้านนาและเพื่อประโยชน์ของวัตถุมงคลของครูบาชุ่มให้มีหลักที่นิ่งตายตัว   เหตุถ้าหลักไม่นิ่งจะก่อให้เกิดผลกระทบในด้านร้ายได้   ส่วนผมก็ไม่เคยคิดที่จะไปสาปแช่งท่านและก็ไม่โกรธเกลียดท่านด้วย  เพราะการถกกันในเชิงเหตุและผล ไม่จำเป็นที่ต้องทำให้คนที่ไม่เคยรู้จักกัน   ให้กลายเป็นศัตรูกัน   มันตลกครับ

ท้ายนี้  ผมก็ยังยินดีรับฟังข้อมูลจากท่านอีกเช่นกันชอบด้วยนะครับเพราะได้ความรู้เพิ่มขึ้นดีครับ    และหวังว่าข้อมูลใหม่ของท่านจะทำให้ผมเปลี่ยนใจเชื่อถือตามแนวคิดของท่านนะครับ

ไม่ต้องเกลียดผมนะครับ

ด้วยรัก

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 11 ] Thu 15, Mar 2012 15:45:25

 

สุดยอดมากเลยครับพี่ธันชนก ที่ให้ข้อมูลที่แน่นและแน่นอนมาก แล้วก็มีที่มาชัดเจน ยืนยันที่ข้อมูลจากแหล่งที่เชื่อถือได้ สุดยอดมากเลยครับที่กล้าเปิดเผยข้อมูลที่แท้จริง

 
โดย : ใหม่ บ้านกู่    [Feedback +2 -0] [+1 -0]   [ 12 ] Fri 16, Mar 2012 10:41:59

 

องค์กรอยู่มาได้อย่างยั่งยืน  ก็จำเป็นต้องมีผู้มีความรู้เชี่ยวชาญมาเป็นเสาหลัก

ผู้ทำหน้าที่เป็นเสาหลัก ต้องมีความมั่นคง  มีใจที่เป็นธรรม ไม่หวั่นไหวต่อคำพูดหรือการกระทำใดๆที่คิดจะล้มความน่าเชื่อถือของหลักนั้นๆ

หลักก็ต้องเป็นหลัก   และวางหลักนั้นๆเป็นบรรทัดฐานให้กับองค์กรนั้นๆเพื่อเป็นประโยชน์แต่ในด้านดีๆแก่กลุ่มคนที่เกี่ยวข้องจะได้อาศัยหลักอันมั่นคงนั้นๆ

ถึงตอนนี้ให้นึกถึงเรื่องแผ่นดินไหวขึ้นมา  เป็นที่รู้กันทั่วๆไปว่า แผ่นดินไหว ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายตามมาทั้ง ชีวิต จิตใจ  ทรัพย์สิน  รวมทั้งเสียหายต่อการพัฒนาของสังคมโดยรวม

ความเสียหายจะมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับความรุนแรง  รวมทั้งสภาพความต่อเนื่องของแผ่นดินไหวที่ตามมา(อาฟเตอร์ช็อค)  

แผ่นดินไหวเมื่อหยุดเร็ว ก็สามารถเข้าซ่อมแซมเยียวยารักษาได้เร็ว  แต่ถ้ายังมีอาฟเตอร์ซ็อคตามมา  ก็ยังเยียวยารักษาได้ไม่เต็มที่  จนกว่าคลื่นอาฟเตอร์ช็อคจะหยุด

ก็ได้แต่ภาวนานะ  ว่าคงจะไม่มีคลื่นอาฟเตอร์ช๊อคตามมาอันจะก่อให้เกิดความเสียหายมากยิ่งขึ้นไปอีก

 

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 13 ] Fri 16, Mar 2012 11:29:58

 

มาคิดดูนะว่าที่เขาว่า ตะกรุดยุคต้นๆ ทำไมราคาแค่หลักร้อยสูงสุดก็3000...

แต่ทำไมยุคปลาย ราคาเป็นหมื่นอัพ.สวยๆ50000..น่าแปลกมาก 

เพราะที่ว่า ยุคต้นๆไม่มีหลักฐานการสร้างที่แน่นอน เห็นครั่งที่เก่าๆหน่อยก็ตีเป็นของครูบาชุ่ม 

ผมชอบคนที่เขียนมากเลยครับได้ประโยชน์และเห็นแก่คนที่เข้ามาศึกษาเรื่องตะกรุดครูบาชุ่ม อย่างแท้จริง                                   

 นับถือครับที่กล้าแสดงอย่างไม่ปิดปังเพราะทุกวันนี้เซียนตียัดกันเป็นนว่าเล่นเลย แต่เซียนไม่มีหลักฐานแบบที่พี่ลงโชว์ เชียนจะอ้างชื่อคนที่อยู่แถวๆนั้นมา....ซึ่งมีจริงไม่มีจริงไม่รู้แต่ที่แน่ๆรู้ว่า.......เซียนจะขายของ

 
โดย : พอพล    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 14 ] Sun 31, Mar 2013 14:01:36

 
ข้อมูลเกี่ยวกับ ตะกรุด ครูบาชุ่ม โพธิโก ฉบับเต็ม : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.