พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
อู้ได้ซะป๊ะเรื่อง

ประเพณีที่เราชาวล้านนา บ้านเราทำกันช่วงนี้ ข้าว มธุปายาส


ประเพณีที่เราชาวล้านนา บ้านเราทำกันช่วงนี้  ข้าว มธุปายาส


ประเพณีที่เราชาวล้านนา บ้านเราทำกันช่วงนี้  ข้าว มธุปายาส

   
 

ช่วงนี้  หลายๆวัด  ทางล้านนาบ้านเรา วัดคงจัดงานเทศน์มหาชาติ แล้วแต่ใครสะดวกใกล้บ้านที่ใหนก็ไปใด้  เพราะเป็นประเพณีเก่าที่ทำกันมาแต่เดิม  เล่ากันว่าผู้ใดใด้  บริโภค ก็จะเป็นศิริมงคลกับตัวเองด้วย  หรือ เอาข้าว  น้ำผึ้ง  น้ำอ้อย น้ำตาล  ไปร่วมด้วยก็จะใด้บุญ  (การทำบุญย่อมเป็นเรื่องดีอยู่แล้ว) เราคนเมืองล้านนา อย่าลืมประเพณีนี้เน้อครับ  ภาพ  คณะแม่ชี  วัดร่ำเปิง(ตโปทาราม) กำลังทำข้าว มธุปายาส

 
     
โดย : samran   [Feedback +121 -1] [+0 -0]   Thu 10, Nov 2011 23:51:09
 








 

ระหว่าง  ที่กำลังช่วยกัน กวน ข้าวให้เข้ากัน แม่ชีอีกส่วนก็จะสวด คาถา ชยันโต ไปพร้อมๆกัน

 
โดย : samran    [Feedback +121 -1] [+0 -0]   [ 1 ] Thu 10, Nov 2011 23:57:00









 
รอเวลา พิธี สวดเทศน์มหาชาติ จบตอนเช้า ก็จะถวายข้าว มธุปายาส 
 
โดย : samran    [Feedback +121 -1] [+0 -0]   [ 2 ] Fri 11, Nov 2011 00:01:04









 

ประวัตินางสุชาดาที่ถวายข้าวมธุปายาสให้พระพุทธเจ้า

นางสุชาดาเป็นธิดาของเสนียะ ( เสนานิกุฏุมพี) ผู้มีทรัพย์ซึ่งเป็นนายใหญ่แห่งชาวบ้านเสนานิคม ตำบลอุรุเวลา เมื่ออายุย่างเข้าสู่วัยสาวนางได้ทำพิธีบวงสรวงต่อเทพยดาที่สิงสถิต ณ ต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งใกล้บ้านของนาง โดยได้ตั้งปณิธาน
ความปรารถนาไว้ ๒ ประการ คือ:-
          ๑. ขอให้ข้าพเจ้าได้สามีที่มีบุญ มีทรัพย์สมบัติ และมีชาติสกุลเสมอกัน
          ๒. ขอให้ข้าพเจ้ามีบุตรคนแรกเป็นชาย

       ถ้าความปรารถนาของข้าพเจ้าทั้ง ๒ ประการ สำเร็จสมบูรณ์แล้ว ข้าพเจ้าจะทำพลีกรรม แก่ท่านด้วยของอันมีค่าหนึ่งแสนหกปณะ
ครั้นการต่อมา ความปรารถนาของนางสำเร็จทั้งสองประการ โดยได้สามีเป็นเศรษฐีมีฐานะเสมอกัน และได้บุตรคนแรกเป็นชายนามว่า “
ยสะ ” นางได้ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปจนลูกชายแต่งงานแล้ว จึงปรารภที่จะทำพลีกรรมบวงสรวงสังเวยเทพยดาด้วยข้าวมธุปายาส
ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ โดยนางได้ประกอบพิธีหุงข้าวมธุปายาสแล้วให้นางทาสีสาวให้ไปปัดกวาดทำความสะอาดบริเวณโคนต้นไทรนั้น


      ในอดีตกาล ครั้งพระพุทธเจ้านามว่า ปทุมุตตระ บังเกิดใน เรือนสกุล กรุงหังสวดี ต่อมา นางฟังธรรมกถาของพระศาสดา เห็นพระศาสดา ทรงสถาปนาอุบาสิกาผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสิกาผู้ถึงสรณะก่อนอุบาสิกาทั้งปวง จึงทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น

        นางเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป บังเกิดในครอบครัวของกุฎุมพีชื่อเสนียะ ณ ตำบลอุรุเวลาเสนานิคม ก่อนพระศาสดา
ของเราบังเกิด เจริญวัยแล้วได้ทำความปรารถนาไว้ ณ ต้นไทรต้นหนึ่งว่า

        ถ้านางไปมีเหย้าเรือนกะคนที่เสมอๆ กัน ได้บุตรชายในท้องแรกจักทำพลีกรรมประจำปี ความปรารถนาของนางก็สำเร็จ


        เมื่อพระมหาสัตว์ทรงทำทุกรกิริยาครบปีที่ ๖ ในวันวิสาขปุณณมี นางมีความประสงค์จะทำพลีกรรมในวันเพ็ญเดือน ๖ และก่อนหน้า
นั้นแหละ ได้ปล่อยแม่โคนมพันตัวให้เที่ยวไปในป่าชะเอม ให้แม่โคนม ๕๐๐ ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๑ ,๐๐๐ ตัวนั้น แล้วให้แม่โคนม
๒๕๐ ตัว ดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๕๐๐ ตัวนั้นรวมความว่า นางต้องการความข้นความหวาน และความมีโอชะของน้ำนมจึงได้กระทำการ
หมุนเวียนไป จนกระทั่งแม่โคนม ๘ ตัวดื่มน้ำนมของแม่โคนม ๑๖ ตัว ด้วยประการฉะนี้ ในวันเพ็ญเดือน ๖ นางคิดว่า จักทำพลีกรรม
ตั้งแต่เช้าตรู่ จึงลุกขึ้นในเวลาใกล้รุ่งของราตรี แล้วให้รีดนมแม่โคนม ๘ ตัวนั้น ลูกโคทั้งหลายยังไม่ทันมาใกล้เต้านมของแม่โคนม แต่เมื่อพอนำภาชนะใหม่เข้าไปที่ใกล้เต้านม ธารน้ำนมก็ไหลออกโดยธรรมดาของตน

       นางสุชาดาเห็นความอัศจรรย์ดังนั้น จึงตักน้ำนมด้วยมือของตนเองใส่ลงในภาชนะใหม่ แล้วรีบก่อไฟด้วยมือของตนเอง เมื่อนางกำลัง
หุงข้าวปายาสนั้นอยู่ ฟองใหญ่ๆ ผุดขึ้นไหลวนเป็นทักษิณาวัฏ น้ำนมแม้จะแตกออกสักหยาดเดียว ก็ไม่กระเด็นออกไปข้างนอก ควันไฟ
แม้มีประมาณน้อยก็ไม่ตั้งขึ้นจากเตาไฟ


        สมัยนั้น ท้าวจตุโลกบาลมาถือการอารักขาที่เตาไฟ ท้าวมหาพรหมกั้นฉัตร ท้าวสักกะทรงนำดุ้นฟืนมาใส่ไฟให้ลุกโพลงอยู่ เทวดาทั้งหลายรวบรวมเอาโอชะ
ที่สำเร็จแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในทวีปใหญ่ทั้ง ๔ มีทวีปน้อยสองพันเป็นบริวารมาใส่ลงใน
ข้าวปายาสนั้น ด้วยเทวานุภาพของตนๆ เสมือนคั้นรวงผึ้งซึ่งติดอยู่ที่ท่อนไม้ถือเอาต้นน้ำหวานฉะนั้น

       จริงอยู่ ในเวลาอื่นๆ เทวดาทั้งหลายใส่โอชะในทุกๆ คำข้าว แต่ในวันบรรลุพระสัมโพธิญาณ และวันปรินิพพานใส่ลงในหม้อเลยทีเดียว
นางสุชาดาได้เห็นความอัศจรรย์มิใช่น้อย ซึ่งปรากฏแก่ตนณ ที่นั้น ในวันเดียวเท่านั้น จึงเรียกนางปุณณาทาสีมาพูดว่า

        นี่แน่ะแม่ปุณณา วันนี้เทวดาของพวกเราน่าเลื่อมใส่ยิ่งนัก เพราะว่าเราไม่เคยเห็นความอัศจรรย์เห็นปานนี้ ในเวลามีประมาณเท่านี้ เธอจงรีบไปปัดกวาดเทวสถานโดยเร็ว นางปุณณาทาสีรับคำของนางแล้วรีบด่วนไปยังโคนไม้ ในตอนกลางคืนวันนั้น แม้พระโพธิสัตว
์ก็ได้ทรงเห็นมหาสุบิน ๕ ประการ เมื่อทรงใคร่ครวญดู จึงทรงกระทำสันนิษฐานว่า วันนี้ เราจักได้เป็นพระพุทธเจ้าโดยไม่ต้องสงสัย
เมื่อราตรีนั้นล่วงไป จึงทรงกระทำการปฏิบัติพระสรีระ ทรงคอยเวลาภิกขาจาร

             พอเช้าตรู่ จึงเสด็จมาประทับนั่งที่โคนไม้นั้น ยังโคนไม้ทั้งสิ้นให้สว่างไสวด้วยพระรัศมีของพระองค์


          ลำดับนั้น นางปุณณาทาสีนั้นมาได้เห็นพระโพธิสัตว์ประทับนั่งที่โคนไม้ มองดูโลกธาตุด้านทิศตะวันออกอยู่ และต้นไม้ทั้งสิ้น
มีวรรณดุจทองคำ เพราะพระรัศมีอันซ่านออกจากพระสรีระของพระองค์ นางปุณณาทาสีนั้นได้เห็นแล้วจึงมีความคิดดังนี้ว่า วันนี้ เทวดา
ของเราเห็นจะลงจากต้นไม้มานั่งเพื่อคอยรับพลีกรรมด้วยมือของตนเอง จึงเป็นผู้มีความตื่นเต้น รีบมาบอกเนื้อความนั้นแก่สุชาดา

           นางสุชาดาได้ฟังคำของนางปุณณาทาสีนั้นแล้วมีใจยินดีพูดว่า ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าจงตั้งอยู่ในฐานะเป็นธิดาคนโตของเรา แล้วได้ให้
เครื่องอลังการทั้งปวงอันสมควรแก่ธิดา ก็เพราะเหตุที่ในวันจะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้า ควรจะได้ถาดทองใบหนึ่งซึ่งมีราคาหนึ่งแสน
ฉะนั้นนางสุชาดานั้นจึงทำความคิดให้เกิดขึ้นว่า เราจักใส่ข้าวปายาสในถาดทองนางมีความประสงค์จะให้นำถาดทองราคาหนึ่งแสนมาเพื่อ
ใส่ข้าวปายาสในถาดทองนั้น จึงรำพึงถึงโภชนะที่สุกแล้ว ข้าวปายาสทั้งหมดได้กลิ้งมาตั้งอยู่เฉพาะในถาด เหมือนน้ำกลิ้งมาจากใบปทุม
ฉะนั้น ข้าวปายาสนั้นได้มีปริมาณเต็มถาดหนึ่งพอดี


         นางจึงเอาถาดใบอื่นครอบถาดใบนั้นแล้วเอาผ้าขาวพันห่อไว้ ส่วนตนประดับประดาร่างกายด้วยเครื่องประดับทุกอย่างเสร็จแล้ว
ทูนถาดนั้นบนศีรษะของตนไปยังโคนต้นไทรด้วยอานุภาพใหญ่ เห็นพระโพธิสัตว์แล้วเกิดความโสมนัสเป็นกำลัง สำคัญว่าเป็นรุกขเทวดา จึงโน้มตัวเดินไปตั้งแต่ที่ที่ได้เห็น ปลงถาดลงจากศีรษะแล้วเปิด (ผ้าคลุม) ออก เอาสุวรรณภิงคาร คนโทน้ำทองคำ ตักน้ำที่อบด้วย
ดอกไม้หอมแล้วได้เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ยืนอยู่


      บาตรดินที่ฆฏิการมหาพรหมถวาย ไม่ได้ห่างพระโพธิสัตว์มาตลอดกาลมีประมาณเท่านี้ ขณะนั้นได้หายไปพระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นบาตร จึงเหยียดพระหัตถ์ขวาออกรับน้ำ นางสุชาดาจึงวางข้าวปายาสพร้อมทั้งถาดลงบนพระหัตถ์ของพระมหาบุรุษๆ ทรงแลดูนางสุชาดาๆ กำหนดพระอาการได้ทูลว่า

            ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ดิฉันบริจาคแก่ท่านแล้ว ท่านจงถือเอาถาดนั้นไปกระทำตามความขอบใจเถิด ถวายบังคมแล้วทูลว่า
มโนรถของดิฉันสำเร็จแล้ว ฉันใด แม้มโนรถของท่านก็จงสำเร็จ ฉันนั้น นางบริจาคถาดทองซึ่งมีราคาตั้งหนึ่งแสน เหมือนบริจาคใบไม้เก่า
ไม่เสียดายเลย แล้วหลีกไป



         พระโพธิสัตว์เสด็จไปยังฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ทรงวางถาดทองไว้ริมฝั่ง ลงสรงสนานแล้วเสด็จขึ้น ทรงปั้นเป็นก้อนได้ ๔๙ ก้อน
เสวยข้าวมธุปยาสแล้ว ทรงลอยถาดทองลงในแม่น้ำ เสด็จขึ้นสู่โพธิมัณฑสถานตามลำดับ ทรงบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ ประทับ ณ
โพธิมัณฑสถานล่วงไป ๗ สัปดาห์ ทรงประกาศพระธรรมจักรอันประเสริฐโปรดแก่ปัญจวัคคีย์แล้ว ณ ป่าอิสิปตนมิคทายวัน ทรงเห็น
อุปนิสัยของเด็กชื่อ ยสะ บุตรของนางสุชาดา จึงเสด็จไปประทับนั่ง ณ โคนไม้ต้นหนึ่ง

       ไม่ไกลจากป่าอิสิปตนมฤคทายวันมากนัก ตระกูลครอบครัวของนางสุชาดา ได้ตั้งอยู่บริเวณนั้น เพราะเป็นตระกูลเศรษฐีมีทรัพย์
สมบัติมาก แต่มีบุตรชายเพียงคนเดียว จึงเอาอกเอาใจบำรุงบำเรอบุตรด้วยกามคุณ ๕ อย่าง พร้อมสรรพ ด้วยหวังจะให้บุตรชายเป็น
ทายาทสืบสกุล ได้สร้างปราสาท ๓ หลัง สำหรับเป็นที่อยู่ใน ๓ ฤดู อีกทั้งมีสาวงามคอยขับร้องประโคมดนตรีขับกล่อมตลอดเวลา
คืนหนึ่ง ยสะนอนหลับก่อนบริวารและสาวขับร้อง ท่ามกลางแสงประทีปส่องสว่างอยู่ บรรดาหญิงนักขับร้องประโคมดนตรีทั้งหลาย
เห็นยสะนอนหลับแล้วจึงคิดว่า บัดนี้เจ้านายก็หลับแล้วพวกเราจะขับร้องประโคมดนตรีกันไปเพื่อประโยชน์อะไร จึงพากันเอนกายลงนอน
หลับใหลไม่ได้สติ สยะตื่นขึ้นมายามดึกเห็นอาการอันวิปริตต่าง ๆ ของหญิงนักดนตรีเหล่านั้นนอนกันไม่เป็นระเบียบ บ้างก็นอนบ่น
ละเมอเพ้อพึมพำ บ้างก็นอนกรน ดังดูจเสียงกา บ้างก็นอนเปิดร่างในลำดับต่อจากครึ่งราตรี บ้างก็อ้าปากน้ำลายไหล ฯลฯ ไม่เป็นที่เจริญจิต
เจริญใจดังแต่ก่อน ภาพเหล่านี้ปรากฏแก่ ยสะดุจซากศพ ในป่าช้าผีดิบ เกิดความรู้สึกสลดรันทดใจ พูดว่า วุ่นวายหนอ ขัดข้องหนอ และเบื่อหน่ายรำคาญเป็นที่สุด จึงเดินออกจากห้องเดินพลางบ่นพลางออกจากห้องลงบันไดเดิน ไปอย่างไม่มีจุดหมาย บังเอิญได้เดิน
ไปทาง ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ซึ่งขณะนั้นพระพุทธองค์ เสด็จเดินจงกรมอยู่ ได้สดับเสียงของยสะเดินบ่นมาเช่นนั้น จึงตรัสว่า"ที่นี่ไม
่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัด ข้อง เธอจงเข้ามาที่นี่เราจะแสดงธรรมให้ฟัง"ยสะจึงถอดรองเท้าแล้วเข้าไปเฝ้าพระพุทธองค์ ได้สดับ พระธรรมเทศนา
อนุปุพพิกถาและอริยสัจ ๔ จบแล้วได้บรรลุเป็นพระโสดาบัน


         ฝ่ายทางบ้าน พอรู้ว่าลูกชายหายไปจึงรีบส่งคนออกติดตามทั่วทุกทิศ บิดาเองก็ออกติด ตามด้วยและบังเอิญเดินไปทาง
ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เห็นรองเท้าลูกชายก็จำได้จึงเข้าไปกราบ ทูลถามพระพุทธองค์ว่าเห็นลูกชายมาทางนี้บ้างหรือไม่
พระพุทธองค์ทรงดำริว่า “ ถ้าพ่อลูกได้ เห็นหน้ากันก็จะเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุธรรม” จึงทรงบันดาลด้วยฤทธิ์มิให้พ่อลูกเห็นกัน 
ตรัสแก่เศรษฐีว่า “ ท่านจงนั่งลงก่อนแล้วท่านจะได้เห็นลูกชายของท่าน” แล้วทรงแสดง อนุปุพพิกถา และอริยสัจ ๔ ให้ท่านเศรษฐี ฟัง
ส่วน ยสะก็ได้ฟังอีกครั้งหนึ่ง เมื่อจบลงเศรษฐีได้ บรรลุพระโสดาบัน ส่วนยสะได้บรรลุพระอรหัตผล พระพุทธองค์ทรงทราบว่า ยสะได้บรรลุ
พระอรหัต ไม่หวนกลับไปครองเพศฆราวาสอีกต่อไปแล้ว จึงทรงคลายฤทธิ์ให้พ่อลูกได้เห็นกัน เศรษฐีเห็น ยสะลูกชายก็ดีใจ อ้นวอนให้
กลับบ้าน ด้วยคำว่า “ ยสะ มารดาของเจ้าเศร้าโศกยิ่งนัก  เจ้าจงให้ชีวิตแก่มารดาของเจ้าด้วยเถิด” แต่พอทราบว่ายสะบรรลุพระอรหัตแล้ว
ก็อนุโมทนา และขอแสดงคนเป็นอุบาสก ขอถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึก ตลอดชีวิต ได้ชื่อว่า “ เป็น อุบาสกคนแรก ที่ถึงพระรัตนตรัย”
แล้วกราบทูลอาราธนาพระบรมศาสดาพร้อมด้วยยสะให้ไปรับอาหารบิณฑบาตที่เรือนของตนในเช้าวันนั้น และเมื่อทราบว่าพระพุทธองค์ทรง
รับอาราธนาแล้ว จึงกราบทูลลากลับบ้านแจ้งแก่ภรรยาและบริวารในบ้านให้จัดเตรียมอาหาร เพื่อถวายพระ บรมศาสดาและ ยสะ ฝ่ายยสะ
เมื่อบิดากลับไปแล้วกราบทูลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรง ประทานด้วยพระดำรัสว่า 


       “ เธอจงเป็นภิกษุมาเถิด ธรรมอันเรากล่าวดีแล้วเธอจงประพฤติพรหมจรรย์เถิด” โดยไม่มีคำว่า “ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ”
เหมือนกับที่ประทานแก่พระปัญจวัคคีย์ เพราะว่ายสะได้สำเร็จเป็น พระอรหันต์ ตั้งแต่ก่อนบวชนั่นเอง การอุปสมบทแบบนี้เรียกว่า
“ เอหิภิกขุอุปสัมปทา” เช้าวันนั้น พระบรมศาสดาพร้อมด้วยพระยสะเสด็จไปยังเรือนของเศรษฐีตามคำอาราธนา ประทับ บนอาสนะ
ที่จัดเตรียมไว้ มารดาและภรรยาเก่าของพระยสะได้ช่วยกันถวาย ภัตตาหาร เมื่อเสร็จภัตกิจแล้ว พระพุทธองค์ทรงแสดงอนุปุพพิกถา
และอริยสัจ ๔ ให้สตรีทั้งสองฟัง เมื่อจบลงเธอทั้งสองก็ได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุเป็นพระโสดาบันในพระพุทธศาสนา แสดง ตนเป็น
อุบาสิกา ขอถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต เธอทั้งสองได้ชื่อว่า “ เป็นอุบาสิกาคนแรกหรือรุ่นแรกที่ถึงพระรัตนตรัยในพระพุทธศาสนา”
         ด้วยเหตุนี้ พระพุทธองค์จึงทรงยกย่องนางสุชาดา (มารดาของพระยสะ) ในตำแหน่งเอตทัคคะ ว่าเป็นผู้เลิศกว่าอุบาสิกา
ทั้งหลาย ในฝ่าย ผู้ถึงพระรัตนตรัยก่อนอุบาสิกาทั้งปวง ผู้ถึงสรณะ แล


   

 
โดย : samran    [Feedback +121 -1] [+0 -0]   [ 3 ] Fri 11, Nov 2011 00:05:18









 

    ภาพชีวิตของคนอินเดีย บริเวณหมู่บ้านของนางสุชาดา ซึ่งทราบว่าแม้ในปัจจุบันก็ยังมี
ญาติตระกูลของนางสุชาดาอาศัยอยู่


หญิงชราอายุประมาณ 80 ปี บริเวณหมู่บ้านของนางสุชาดา

       
หญิงสาวพื้นบ้านหมู่บ้านที่นางสุชาดาเคยอาศัยอยู่ สังเกตุข้างฝาบ้านคือถ่านธรรมชาติทำจากมูลโคและควายผสมกับฟาง
และใบไม้ แปะกับข้างฝาให้แห้งนำมาเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี ไม่ต้องเสียเงินซื้อ มีใช้ตลอดปี บ้านใดมีมากแสดงว่ามีฐานะ
       


สภาพบ้านเรือนยังคงเป็นเช่นเสมือนสมัยหลายพันปีมาแล้ว

      


ก่ออิฐสร้างกันเอง อิฐถูกมากในรัฐพิหาร สตรียังคงแต่งตัวตามประเพณีดั่งเดิม


หมู่บ้านที่นางสุชาดาเคยอาศัยอยู่ในสมัยพุทธกาล นี่คือสภาพของหมู่บ้านปัจจุบัน

บ้านนางสุชาดา “ สุชาฎากุฎี” ผู้ถวายข้าวมธุปายาสแก่เจ้าชายสิทธัตถะ ที่ใต้ต้นไทร ในวันขึ้น ๑๔ ค่ำ เดือน ๖ ก่อนพุทธศักราช ๔๕ ปี จะเห็นลักษณะเนินดินสูงประมาณ ๓ เมตร ที่ได้รับการขุดค้นทางโบราณคดีและก่ออิฐขึ้นรูปไว้ให้พอมองเห็น
เค้าโครงคล้ายสถูป เชื่อกันว่าพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้าง ฉันชื่นชมประเทศอินเดียมากเรื่องโบราณสถาน เพราะจะไม่มีการล่วงล้ำ
กร้ำกรายหรือบุกรุกเด็ดขาด จะปล่อยให้เป็นสมบัติของชาติโดยไม่ทำอะไรรุกล้ำแนวเขต ฉันเห็นผู้หญิงใช้ศีรษะทูนของเดินกันเป็นแถว
นี่เองคงเป็นที่มาของคำว่า “ เมืองแห่งคนใช้หัว” ซึ่งคำกล่าวนี้ไม่เกินความเป็นจริงเลย


สถูปคุณย่าสุชาดา ที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้ดำริให้สร้างขึ้น








        และที่บ้านนางสุชาดาเช่นกัน ขบวนการขอทานเริ่มปฏิบัติการเพียงแต่ยังไม่รุนแรง มีขอทานตาม ขอรถมาหลายช่วงอายุคน ด้วยวิธีการที่แตกต่างกัน บางคนใช้ภาษามือ และส่งสายตาเว้าวอน พร้อมพูดว่า อาจ๊าน อาจาน หรือไม่ก็เรียกว่า รานี, มหารานี 
โอ..ฉันควรจะภาคภูมิใจไหมนี่ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นถึงรานี ส่วนบางคนที่พูดอังกฤษได้ก็ขอรับบริจาคเงินให้โรงเรียน เป็นต้น
และที่ตรงนี้ พ่อค้าหนุ่มแขก สีผิวเข้มข้น ตาคม เดินขาย สร้อยคอที่ทำจากเรซิ่นมา ๑๒ เส้น สนนราคา ๑๐๐ บาท จากราคาที่บอก
ครั้งแรก ๕๐๐ บาท








           บ้านนางสุชาดา นางคนที่ถวายข้าวมธุปายาสแด่พระพุทธเจ้าก่อนที่พระองค์จะตรัสรู้ เค้าว่านางสุชาดา สวยงามทุกประการ ขนาดแก่ตัวนั่งในหมู่ลูกหลาน ยังแยกนางไม่ออกเลย ชอบบ้านที่นี่สวยอยู่ในทุ่งนา ไกลๆเป็นภูเขา วิวดีจริงๆ



 


มีบางตำนานกล่าวถึงนางสุชาดาในอดีต (ก่อนภพนี้) หลังจากสิ้นบุญแล้วเกิดใหม่ว่า
...

         เนิ่นนานมาแล้ว..เป็นยุคที่โลกเริ่มเปลี่ยนจากกัปป์ว่างเข้าสู่กัปป์ที่มีสิ่งมีชีวิตเริ่มปรากฎขึ้น มีชายผู้หนึ่งนามว่ามาฆะมาณพ มีภรรยา 4 คน คือนางสุธรรมา นางสุจิตตา นางสุนันทา นางสุชาดา มาฆะมาณพมีความคิดในการสร้างการกุศล โดยช่วยเหลือผู้อื่น เช่นทำถนน
หนทาง ก่อกองไฟให้เด็กและคนแก่ผิงไฟคลายหนาวเป็นต้น และหลังจากนั้นข่าวการทำความดีก็แผ่ออกไป...มีเพื่อนๆมาร่วมสมัครใจ
ทำการบุญกับมาฆะมาณพจำนวนประมาณ 33 คน และร่วมกันสร้างคุรธรรมเช่นการเลี้ยงดูพ่อ-แม่ ฝ่ายภริยาทั้งสามก็ร่วมทำบุญสร้างศาลา
สระโบกขรณี ถนนหนทาง..แต่ภรรยาคนที่ 4 ไม่สนใจการบุญ เพราะเธอรักสวยรักงาม ใม่ค่อยใส่ใจเพราะถือว่าสามีรักมาก..

         หลังจากสิ้นบุญในโลกมนุษย์ไปแล้ว มาฆมาณพและเหล่าเพื่อนๆ 33 คน และหล่าภรรยาที่สร้างการบุญด้วยกันก็ไปเกิดบนสวรรค์
ยกเว้นแต่นางสุชาดาที่ไปเกิดเป็นนางนกกระยางขาว



            มาฆะมาณพก็ได้ชื่อใหม่ว่าองค์อัมรินทร์.และเป็นประมุขแดนสวรรค์...จึงเรียกสวรรค์ชั้นนั้นว่า ไตรตึงส์ ( ดาวดึงส์)
และวันหนึ่งก็นึกถึงนางสุชาดาที่ไปเกิดเป็นนกกระยางขาว...ก็ค้นหาและพานางสุชาดาไปชมสวรรค์...เหล่าพี่ๆที่เป็นภรรยา
มาฆะมาณพพมาด้วยกันก็ใจดีมีเมตตาชี้ให้เห็นว่า...เพราะน้องชอบแต่งตัวสวยอย่างเดียวบุญก็ไม่ทำแล้วเห็นรึไม่ว่าผลก็เป็น
ที่่น่าเสียดาย...นางสุชาดาก็เสียใจ...พระอินทร์ก็พานางมาส่งที่โลกของและให้นางนกกระยางขาว รักษาศีล 5 แล้วท่านพระอิมนทร์จะมารับเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม...

           นางก็ตั้งใจรักษาศีล๕ ละปาณาติบาต ไม่กินสัตว์อื่นเป็นอาหาร และเพราะวิสัยนกต้องกินปลา...พอไม่ได้กินไม่นานก
็เสียชีวิต แล้วนางก็ได้ไปเกิดในแดนสวรรค์ อยู่ข้างกายองค์อัมรินทร์สมความปราณนา นางนกกระยางขาว ได้ขึ้นไปเห็นสวรรค์
มาแล้ว เมื่อกลับมา นางจึงตั้งใจรักษาศีล แลกด้วยชีวิต

          เพราะนางประจักษ์แล้วว่า อัตตภาพในปัจจุบันคับแค้นอึดอัดนัก จึงไม่เสียดายอัตภาพนี้ หมายเอาสุขในแดนสวรรค์เบื้องหน้า
ถ้าหากมีผู้สามารถพามนุษย์ในปัจจุบัน ขึ้นไปชมแดนสวรรค์แบบนั้นได้บ้างแล้ว ชาวมนุษย์คงสละสมบัติทั้งปวงแลกสมบัติสวรรค์
มาตั้งใจรักษาศีลเพื่อจะได้ไปอยู่ในแดนสวรรค์กันทั่วหล้า โลกเราคงจะสงบสุขอย่างยิ่งทีเดียว

          นางนกกระยางขาว ได้ขึ้นไปเห็นสวรรค์มาแล้ว เมื่อกลับมา นางจึงตั้งใจรักษาศีล แลกด้วยชีวิต เพราะนางประจักษ์แล้วว่า
อัตตภาพในปัจจุบันคับแค้นอึดอัดนัก จึงไม่เสียดายอัตภาพนี้ หมายเอาสุขในแดนสวรรค์เบื้องหน้า ถ้าหากมีผู้สามารถพามนุษย์ในปัจจุบัน
ขึ้นไปชมแดนสวรรค์แบบนั้นได้บ้างแล้ว ชาวมนุษย์คงสละสมบัติทั้งปวงแลกสมบัติสวรรค์ มาตั้งใจรักษาศีลเพื่อจะได้ไปอยู่ในแดนสวรรค์
กันทั่วหล้า โลกเราคงจะสงบสุขอย่างยิ่งทีเดียว



 
โดย : samran    [Feedback +121 -1] [+0 -0]   [ 4 ] Fri 11, Nov 2011 00:13:39





 

สำหรับ ขบวนการ ขอทานนั้นมีทุกที่  เราต้องทำใจ  ใครมีมากก็ให้  แต่ถ้ามีน้อยก้ส่งรอยยิ้ม ให้ เขาเอาแล้วกัน   และเราทุกคนชาวพุทธควรบำรุงศาสนา  และรักษาประเพณี เดิมของล้านนาเราใว้ด้วย แล้วแต่จะสะดวกแบบใหน และตามเห็นสมควร  หรือสวดมนต์ใหว้พระแล้ว ก็ใด้อานิสงฆ์ ใด้บุญเหมือนกันครับ   ขอบคุณที่เมตตาเข้ามาเยี่ยมชมครับ

 
โดย : samran    [Feedback +121 -1] [+0 -0]   [ 5 ] Fri 11, Nov 2011 00:26:56





 

สุดยอดเลยครับท่านอาจารย์  ...

 
โดย : พระธนบดี    [Feedback +67 -0] [+0 -0]   [ 6 ] Fri 11, Nov 2011 22:32:28

 

มธุปายาส มธุปายาส 
อยากกิน อยากกิน อิอิอิอิ

 
โดย : kanung    [Feedback +44 -0] [+1 -0]   [ 7 ] Sat 12, Nov 2011 21:33:57

 
ประเพณีที่เราชาวล้านนา บ้านเราทำกันช่วงนี้ ข้าว มธุปายาส : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.