พ่อบุญธรรมของน้าผมที่จังหวัดน่านเป็นคนค้นพบพระกรุนี้แท้ ๆ และแกไปขุดเอง เอาไปเอามากลับกลายเป็น ไม่เป็นไรครับ วงการนี้ผมเข้าใจ ผมคงไม่เหมาะกับวงการนี้ น้าผมจะไปสร้างพระธาตุเจดีย์ที่จังหวัดน่าน คงจะเอาพระทั้งหมดมีมากกว่าในรูปที่ลงอีกนะครับ ที่ลงบางส่วน พระฮางยาขนาดฝ่ามืออีกหลายองค์ คงจะเอาบรรจุไว้ในพระธาตุดีกว่า ผมไม่ได้เป็นเซียน ไม่มีชื่อในวงการ และผมก็คงไม่
เมืองน่าน หรือ"นันทบุรี" ก่อตั้งเมื่อสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑๘ ตามพงศาวดารกล่าวว่า "ท้าวพระยาผานอง ราชวงศ์ภูคา เมืองปัว เป็นผู้สร้างเมื่อปีระวายซะง้าย จุลศักราชได้ ๗๓๐ ตัว เดือน ๑๒ ขึ้น ๖ ค่ำ ยามแกนั้นแล เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ราชวงค์ภูคาได้ครอบครองต่ออีก ๑๖ ชั่ว" เมืองเดิมตั้งอยู่ตำบลศิลาเพชร(เขตอำเภอปัว) ต่อมาในรัชสมัย พระยากานเมือง ได้ย้ายเมืองล่องตามลำน้ำน่านลงทิศใต้ มาตั้งเมืองใหม่ที่ดอนแช่แห้งเรียกว่า เมืองภูเพียงแช่แห้ง (ปัจจุบัน เป็นกิ่งอำเภอภูเพียง) ตั้งเมืองอยู่ได้ ๑๑ ปี ลำน้ำน่านเปลี่ยนทางเดิน พระยาผากอง โอรสของพระยาการเมืองจึงย้ายเมืองมาตั้งอยู่ริมน้ำน่านฝั่งทิศตะวันตก ซึ่งเป็นเขตเทศบาลเมืองน่านในปัจจุบัน เมืองน่านเป็นเมืองเก่าแก่ มีเขตปกครองตนเอง แต่บางคราวก็ต้องตกเป็นหัวเมืองเป็นประเทศราชบ้าง เมื่อยามแว่นแคว้นใกล้เคียงมีกำลังมากกว่ามาบุกรุกยึดครอง ประวัติศาสตร์เมืองน่าน แบ่งออกเป็น ๔ ยุค
๑ ยุคสร้างเมืองปัวและเมืองน่าน (ระหว่างปลายพุทธศตวรรษที่ ๑๘ พ.ศ. ๑๙๙๒ )
๒ ยุคขี้นกับอาณาจักรล้านนา (พ.ศ. ๑๙๙๓ - ๒๑๐๑ )
๓ ยุคขึ้นกับพม่า (พ.ศ.๒๑๐๓-๒๓๒๘)
๔ ยุคขึ้นกับกรุงรัตนโกสินทร์(พ.ศ.๒๓๓๑-๒๔๗๕)
เมืองน่านเป็นเมืองแห่ง พุทธศาสนา ที่สำคัญ มีวัดวาอาราม ศาสนสถาน ศาสนสมบัติ ประติมากรรมและสถาปัตยกรรมต่าง ๆ เป็นศิลปะโบราณเก่าแก่มีอายุหลายร้อยปีมากมาย
จากประวัติศาสตร์ บรรพชนเมืองน่านในอดีตได้สร้างพระเครื่อง ตามคติโบราณของพุทธศานิกชนเพื่อสืบทอดพระศาสนา เพื่อความเป็นสิริมงคลของบ้านเมือง พระเครื่องเมืองน่านที่พบตามกรุสำคัญหลายกรุ เช่น กรุบ่สวก กรุนาซาว กรุพวงพยอม และกรุสวนตาล
พระบ่สวกเป็นพระเครื่องที่พบในกรุวัดร้างโบราณ บ้านบ่อสวก ตำบลสวก อำเภอเมือง จังหวัดน่าน วัดร้างที่ขุดพบพระบ่สวก ปัจจุบันไม่มีสภาพวัดร้างให้เห็นแล้ว เนื่องจากถูกทำลาย ถูกขุดค้นเสาะหาของโบราณหลายครั้ง นอกจากนี้ยังถูกขุดเอาเศษหินดินทรายนำไปถมปรับถนนภายในหมู่บ้าน และยังถูกไถปรับพื้นที่ให้เป็นที่ปลูกพืชไร่ของชาวบ้านจนไม่มีร่องรอยหลงเหลือพอเป็นหลักฐาน
พระบ่สวก ขุดพบเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๘ เล่ากันว่า "ชาวบ้านที่อาศัยในบริเวณนั้นได้แผ้วถางป่าในบริเวณเนินดินวัดร้างเพื่อทำการปลูกพืชไร่ เมื่อทำการจุดไฟเผาเศษไม้เศษหญ้าที่กองทิ้งไว้ แต่จุดไฟเผาไม่ไหม้ ชาวบ้านจึงปักใจเชื่อว่าภายใต้เนินดินนั้นน่าจะมีสมบัติโบราณที่มี่ค่าฝังซ่อนเอาไว้ จึงบอกเล่าและชักชวนญาติ ๆ และเพื่อนบ้านทำการขุด เมื่อขุดลงไปไม่มากนัก ก็พบกองอิฐโบราณ มีแผ่นหินขนาดใหญ่ปิดทับ หลังจากงัดแผ่นหินออก ก็พบพระเครื่องเนื้อดินเผาเรียงรายในกรุจำนวนมากมาย ข่าวการขุดพบพระกรุบ่สวก ได้แพร่กระจายออกไป ชาวบ้านทั้งต่างบ้านหลายกลุ่มที่สนใจพากันไปขุดหาพระบ่สวกกันแทบทุกวัน
พระบ่สวกมีทั้งหมด ๓ พิมพ์
๑ พิมพ์นั่งเล็ก
๒ พิมพ์นั่งใหญ่
๓ พิมพ์ยืนลีลา
แต่ละพิมพ์มีขนาดที่แตกต่างกันไป เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง มีการตัดกรอบหลายแบบ เป็นแบบสามเหลี่ยมธรรมดา สามเหลี่ยมยอดแหลม สามเหลี่ยมปลายตัด แบบกลมรีคล้ายใบพุทรา(ใบตัน) แบบหลังอูมคล้ายไข่ผ่าซึก และชนิดมีกรอบยกสูงขึ้น เรียกบ่สวกฮางยา พระมีสามสีคือสีแดง น้ำตาล เขียวหินครก เนื้อพระบ่สวกเป็นดินผสมค่อนข้างละเอียดมีกรวดทรายผสมอยู่พอประมาณ เป็นพระที่ผ่านการเผาที่ความร้อนสูง เนื้อพระละลายตัวจนมีความแข็งแกร่งดุจหิน เอกลักษณ์พิเศษอีกอย่างหนึ่งที่ไม่เหมือนกับพระกรุอื่นใด คือ พระบ่สวกจะเป็นพระที่มีฐานหนา ใต้ฐานตัดเรียบ พระบ่สวกทุกองค์นำมาวางตั้งได้ไม่ล้ม
พระบ่สวกพิมพ์นั่งเล็ก
เป็นพระปางมารวิชัย ศิลปน่าน ประทับอยู่บนฐานบัลลังก์ ๒ ชั้น(ชั้นเดียวก็มี) องค์พระสมส่วนงดงามมาก พระพักตร์รูปไข่ พระหนุแหลมเล็กน้อยในองค์ที่พิมพ์ติดชัดจะเห็นพระเนตร ตลอดจนพระนาสิกชัดเจน พระเกศเป็นชั้นมองดูคล้ายสวมชฎายาวยอดแหลม พระอุระนูนเด่นมาก พระนาภีคอดเล็ก พระกรทอดโค้งพองาม
พระพิมพ์นั่งเล็กเป็นพิมพ์ที่สวยงาม มีขนาดกระทัดรัด มีขนาดกว้างประมาณ ๒-๓ ซม. สูงประมาณ ๓.๕-๔.๕ ซม. พระบ่สวกพิมพ์นั่งเล็กบางคนเรียก "พระนาง"
พระบ่สวกพิมพ์นั่งใหญ่
เป็นพระนั่งปางมารวิชัย ศิลปน่าน ประทับนั่งอยู่บนฐานเขียงชั้นเดียว พระพักตร์แบบผลมะตูม เห็นพระเนตร พระนาสิก ตลอดจนพระโอษฐ์ชัดเจนแทบทุกองค์ ส่วนพระกรรณเห็นเพียงลาง ๆ เท่านั้น พระเกศเป็นชั้นยอดพระเกศแบบบัวตูม พระอุระเล็กแฟบ เห็นผ้าสังฆาฏิชัดเจน ปลายสังฆาฏิพาดลงมาจนถึงพระอุทร ช่วงพระนาภีคอดเล็กน้อย โดยเฉพาะพระอุทรใหญ่กว่าพระอุระ(ชาวบ้านเรียกพระพิมพ์ขี้ปุ๋ม)พระพาหาขวาทอดโค้งคล้ายเม็ดกุ้งด้านข้างตัดกรอบพระด้วยผิวไม้รวก ด้านหลังมีทั้งแบบปาดราบ และแบบหลังลายมือ
พิมพ์นั่งใหญ่จะมีขนาดเขื่องกว่าพิมพ์นั่งเล็ก ขนาดกว้างประมาณ ๔-๕ ซม. สูงประมาณ ๖-๗ ซม.
พระบ่สวกพิมพ์ยืนลีลา
เป็นพระยืนลีลา พระพักตร์ยาวรี เห็นรายละเอียดของพระพักตร์ชัดเจนทุกส่วน พระขนงวาดโค้งพองาม พระเนตรเป็นตุ่มโปนออกมาเล็กน้อย พระนาสิกเป็นสันโด่งรับกับพระโอษฐ์ที่ยื่นออกมา พระหนุแหลมเล็กน้อย พระเกศเป็นชั้นยอดแหลมเล็กน้อยพองาม พระกรรณยาวแนบเสมอพระพักตร์ พระศอเป็นลำใหญ่ พระอังศาเทลาดทั้งสองข้าง พระกรขวาทอดดิ่งลงตามลำพระองค์ ปลายพระหัตถ์เสมอพระชานุ พระกรซ้ายยกขึ้นแนบระหว่างพระอุระ มีเส้นจีวรลากจากพระกัปประช้ายห้อยลงไปเป็นเส้นโค้งหนา ชายจีวรอยู่ในระดับต่ำกว่าพระชานุเล็กน้อย พระบาททั้งสองข้างอยู่ในลักษณะเยื้องก้าวไปทางซ้าย ประทับยืนบนฐานเขียงยื่นออกมาจากผนัง พื้นผนังว่างเปล่าปราศจากลวดลายใดๆทั้งสิ้น กรอบพระมีทั้งแบบสูงยกขอบ(ฮางยา)และแบบราบเรียบ ขนาดกว้างประมาณ ๕.๕ ซม. สูงประมาณ ๘.๕-๑๐.๕ ซม. |