ผมนั้นไม่บ่อยนักที่จะเข้าร่วมงานประกวด ครั้งนี้ก็น่าจะเป็นครั้งที่สามได้
ครั้งแรก ก็น่าจะปี 43 ที่นำพระสมเด็จวัดระฆังเข้าประกวดที่งามวงงาน
ครั้งที่สอง ก็น่าจะปีนี้ เดือนเมย.ปี 43 ที่ลำปาง เนื่องจากมาอยู่ลำปาง ไหนๆก็มาอยู่แล้ว จึงไปร่วมงานประกวดซักกะหน่อย และในครั้งนั้น เสียความรู้สึกเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่ส่งเข้าไปประกวดเพียงชิ้นเดียว และเป็นองค์ที่เช่ามาจากเซียนใหญ่ สายตรง และเนื้อก็เก่ามาฟ้องได้ถึงความเก่าอย่างเด็ดขาดที่แท้ชนิดร้อยตา
ส่งไป กรรมการท่าน(เฉพาะคนที่ผมได้สำผัสมาคนเดียวเท่านั้น)ทำตัวเองว่า ข้านี่ยิ่งใหญ่จริงๆ เก่งๆจริงๆ คนอื่นมันกระจอกไปหมด มองคนที่นำเข้ามาประกวดเป็นโจรไปหมด ท่านไม่สุภาพเป็นอย่างมาก แถมมององค์ของผมอย่างไกลๆชนิดหลายเมตร แล้วท่านบอกว่าเก๊ โดยไม่มามองใกล้ๆ ไม่จับองค์นั้น ไม่พิจารณาอย่างถี่ถ้วน ก่อนที่จะตัดสินใจออกไป ผมมองแล้วรู้สึกสมเพศกรรมการท่านนั้นเป็นอย่างมาก ที่ท่านดูถูกพระสายที่ตัวเองนับถือ แล้วไม่มีองค์ภูมิอย่างเพียงพ่อ ไม่ว่ากริยา มรรยาท ด้านองค์ความรู้ ที่สำคัญยังมีความประมาทในการพิจารณาองค์พระ ดีนะที่ไม่ใช่งานที่กรุงเทพ ฯ ผมจะได้เอากรรมการสายตรงที่เป็นเซียนใหญ่จริงๆ มายันกันว่ามันเก๊อย่างไร ไม่ใช่แค่มองไกลๆแล้วก็ทึกทักว่าเก๊
มาครั้งที่สาม ก็งานจอบที่เชียงใหม่ปีนี่แหละ ส่งประกวดงานนี้ก็หลายองค์อยู่ ภาพฝังใจจากงานประกวดที่ลำปางหายไปอย่างสิ้นเชิง เพราะกรรมการแต่ละท่านล้วนสุภาพทั้งสิ้น ให้ความเป็นกันเอง ให้ความสนิทสนม ที่สำคัญ ให้เกียรติกับแขกผู้มาร่วมงานเป็นอย่างมาก ผิดกฏนิดหน่อย ก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย นิสัยล้วนน่ารักกันทุกๆคน จึงขอชมเชยมาณ ที่นี้ด้วย ที่สำคัญ ผมว่าเป็นการตัดสินที่ดี และเป็นธรรมอย่างมาก องค์ไหนสวยคุณสมบัติพร้อม ก็ได้รางวัลตามคุณสมบัติลักษณะขององค์พระชนิดนั้นๆไปอย่างเป็นกลางและเที่ยงธรรมจริงๆ
ที่ขาดเสียไม่ได้ ต้องขอชมผู้ที่เกียวข้องทุกฝ่าย ที่ได้ร่วมกัน สรรค์สร้าง วางแผน ทั้งทางด้านบุคลากร องค์ความรู้ และสถานที่ รองรับผู้ที่เข้าร่วมงานได้เป็นอย่างดียิ่ง และดีจริงๆ สมกับเป็นงานแกนนำของล้านนา
แม้จะถือว่าเป็นงานที่ดีแล้ว แต่ในครั้งต่อๆไป การพัฒนา ก็ควรจะมีเช่นกัน ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมจะสงสัยกับคำว่า ถ้านำพระส่งงานประกวดแล้วจะทำให้องค์พระช้ำ เป็นเหตุให้พระที่สวยงามสมบูรณ์ในหลายๆองค์จึงมิได้นำเข้าสู่งานประกวด
พอมาที่งาน ผมก็ถึงบางอ้อ ว่าทำไมพระถึงช้ำ เหตุมีได้หลายๆอย่าง แต่ที่ผมสังเกตุได้อย่างชัดเจนคือการที่กรรมการใช้มือเปล่าจับองค์พระขึ้นพิจารณา
มือของคนเรานั้น ย่อมจะเปียกชื้นเสมอ ไม่ว่าจากเหงื่อของตัวเอง จากแก้วน้ำที่กรรมการดื่มน้ำ สิ่งเหล่านี้เมื่อจับองค์พระ ย่อมก่อให้เกิดผลทางเคมีต่อองค์พระได้ เหตุนี้ งานจอบในครั้งหน้า ควรจะพิจารณานำร่องในการให้กรรมการใช้ถุงมือ ถุงมือนั้น จะมีหลายชนิดมาก จึงน่าจะมีบางชนิดที่เหมาะสม และสามารถนำมาเป็นองค์ร่วมกับงานประกวดได้เป็นอย่างดี อันจะส่งผลถึงข้อดีในหลายๆด้าน ทั้งต่อชื่อเสียงของงานจอบในฐานะแกนนำ ต่อองค์พระที่เข้าประกวด ที่สำคัญจะตัดปัญหาจากคำว่าพระช้ำออกไป เมือปัญหานี้หมดไป คงจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงและเห็นถึงองค์พระที่ไม่เคยเห็นก็จะได้เห็นกัน ที่สวย ก็จะมีสวยกว่า อย่างแน่นอนและจริงๆ