พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
โชว์พระเกจิอาจารย์ล้านนา

เปิดตำนานเสือสมิง ของท่านครูบาสิริฯวัดปากกอง


เปิดตำนานเสือสมิง  ของท่านครูบาสิริฯวัดปากกอง


เปิดตำนานเสือสมิง  ของท่านครูบาสิริฯวัดปากกอง

   
 

เราๆท่านๆ  พอจะเคยได้ยินเรื่องเล่าของตำนานเสือสมิงมาบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย  หรือแม้แต่ อมตะนิยาย ของพนมเทียน คือเพชรพระอุมา  ก็ยังมีเขียนไว้เช่นกัน

 

 

ตำนานอันเป็นที่มาของเสือสมิง มีได้สองประการคือ

 

หนึ่ง เป็นกรณีที่เสือที่ดุร้าย เมื่อกินคนเข้าไป วิญาณของคนที่ถูกเสือกินก็จะสิงร่างเสือตัวนั้น   ยิ่งกินคนมากเท่าไหร่ ยิ่งมีวิญญานสิงขึ้นมากเท่านั้น ทำให้เสือตัวนั้น มีอาถรรพ์มาก มีการสร้างมายาลวงต่างๆ เช่นแปลงร่างเป็นคนได้เป็นต้น

 

ประการที่สอง   เป็นกรณีที่ คนที่มีอาคมเก่งกล้า สะกดวิญญานของเสือ ให้มาสิงในคน กรณีนี้ก็เป็นเสือสมิงได้เช่นกัน

 

 

นอกเรื่องไปนาน มาเข้าตำนานตะกรุดเสือสมิง ของท่านครูบาสิริฯ วัดปากกองกันดีกว่า

 

ตะกรุดเสื้อสมิงของท่านครูบาสิริฯ จะมีการจัดสร้างอยู่ สองครั้ง

 

 

ครั้งแรก จัดสร้างขึ้น ในปี พศ.2520  ประมาณ 199 ดอก ระยะเวลาปลุกเสกนาน 3 เดือน

 

ลักษณะ  เป็นตะกรุดเนื้อโลหะ(ทองแดง หรือทองเหลือง ไม่แน่ชัด) ม้วน พอกครั่ง   ครั่งที่พอกมีทั้ง อย่างบาง(หน้าตัดประมาณครึ่งนิ้ว) และ อย่างหนา (หน้าตัดประมาณ สามในสี่นิ้ว)  ความยาวของตะกรุดประมาณ นิ้วครึ่งถึงสองนิ้ว ตามตัวอย่าง  (รุ่นนี้มีของปลอมแล้ว  การเก็บสะสม  ให้ดูและศึกษาหรือถามผู้รู้ เช่น คุณเชนท์ เชียงใหม่ ให้เป็นที่แน่นอนก่อน  หรือดูลักษณะของครั่ง ตามตัวอย่างนี้ให้ดีเสียก่อน เป็นต้น

 

 

ครั้งที่สอง จัดสร้างขึ้นในปี พศ 2521 มีประมาณ  50 ดอก ระยะเวลาปลุกเสกเหมือนตะกรุดตระกูลเกาะเพชรทั้งหลาย คือ 14 ปี ถึง 3 กพ 35

 

ลักษณะ เป็นตะกรุดเนื้อโลหะ(ทองแดงหรือทองเหลืองไม่แน่ชัด) ม้วน พอกครั่งที่ผสมเบญจทราย(ทรายเสก ที่มีพุทธคุณ ในการป้องกันคุณไสย และผีร้าย)  หน้าตัดกว้างประมาณ สามในสี่นิ้ว  ยาวประมาณ นิ้วครึ่ง  (มองในเวป ยังไม่เห็นของปลอม แต่ก็ประมาทไม่ได้  ในการจัดหา ขอให้ใช้ความระมัดระวัง และศึกษาลักษณะตามตัวอย่างให้ดี  หรือจะถาม คุณ เชนท์ เชียงใหม่ น้องหนานน้อย หรือคุณแหร่มจริง ฯลฯ ก็ได้ เพราะคนเหล่านี้ มีตะกรุดของตระกูลเกาะเพชรอยู่  ซึ่งเนิ้อหาของตระกรุด จะมีลักษณะที่คล้ายกันทั้งสิ้น   จะแตกต่างกันไปก็เฉพาะแต่ขนาดของความยาวเท่านั้น)

 

 หมายเหตุ

หากมีความยาว หนึ่งนิ้ว เป็นตะกรุดเกาะเพชร แมวดำ

หากมีความยาว สองนิ้ว เป็นตะกรุดเกาะเพชร กำแพงเจ็ดชั้น

 

 

มาเรื่องพุทธคุณกันบ้าง  ชื่อเสือสมิง  ก็เป็นที่รู้อยู่แล้ว ของการกำบังภัย  คือแคล้วคลาด ปลอดภัย  และยังสร้างมายาลวง ให้เห็นเป็นเสน่ห์ เช่นการแปลงร่างเป็นคนที่เราหลงรัก  ในทางพุทธคุณ จึงมีเมตตามหาเสน่ห์ด้วยเช่นกัน(ถ้าเป็นรุ่นเกาะเพชร ทรายเสก ก็จะป้องกันคุณไสย และผีร้าย อยู่แล้ว)

 

 

มาเรื่องของคาถา ในการอาราทนา กันบ้าง

 

นะโม สามจบ

 

ตำราที่หนึ่ง  ใช้บทอาราทนาของครูบาสิริฯ เป็นปกติ

 

หรือจะอย่างสั้น ก็ใช้

 

กะ ทุ นะ   3  จบ ก็ได้เช่นกัน

 

 

ด้วยรัก

 

ริมฝั่งวัง

 

ท้ายสุด อีกเช่นเคย ต้องขอขอบพระคุณ ท่าน ก๋ง สารภี สำหรับข้อมูลทั้งหมดที่ให้มาเพื่อเป็นวิทยาทานแก่พวกเรา  และต้องขอขอบพระคุณ คุณเชนท์ เชียงใหม่  สำหรับรูปประกอบบางรูป ขอรับ

 
     
โดย : ริมฝั่งวัง   [Feedback +19 -0] [+0 -0]   Fri 4, Jun 2010 15:49:51
 








 

ตัวอย่าง ตะกรุด เสือสมิง อย่างธรรมดา อย่างบาง

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 1 ] Fri 4, Jun 2010 15:51:52









 

ตัวอย่าง ตะกรุดเกาะเพ็ชร เสือสมิง

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 2 ] Fri 4, Jun 2010 15:54:43





 
เปรียบเทียบ ตะกรุดเสือสมิงธรรมดา  และตะกรุดเสือสมิงเกาะเพ็ชร
 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 3 ] Fri 4, Jun 2010 15:55:57

 
เยี่ยมมากมายคับ สมใจอยากกับความรู้ที่ต้องการอ่าน เอาข้อมูลแบบนี้มาเยอะๆนะคับ ขอบคุณจากใจจริงคับ
 
โดย : mtparasite    [Feedback +1 -0] [+0 -0]   [ 4 ] Fri 4, Jun 2010 18:51:01





 

แล้วแบบของผมนี่...จะจัดเป็นแบบไหนคร๊าบบบ

พอมีข้อมูลมั้ยครับ..????

ขอบคุณคร๊าบบบ

 
โดย : คนนิคมหละปูน    [Feedback +1 -0] [+1 -0]   [ 5 ] Fri 4, Jun 2010 23:09:23





 

สวัสดีครับ ท่าน คนนิคมหละปูน

ในความเห็นส่วนตัวของผม ตะกรุดของท่าน ถ้ายาว นิ้วครึ่ง น่าจะเป็นตะกรุดเสือสมิงนะครับ

ผมว่าคงจะเป็นตะกรุดที่จัดสร้างอย่างพิเศษ เพื่อให้กับคนที่สำคัญ จึงได้มีเทียนชัยปิดหัวท้ายอย่างกับตะกรุดเสื้อโคร่งเลย

แล้วผมจะโทรถามท่านก๋ง สารภีอีกที เพื่อให้ได้ความที่กระจ่างชัดครับ

ขอขอบคุณ ท่านนิคมฯ ที่มาร่วมแจมนะครับ  ตะกรุดของท่านสวยมากจริงๆขอรับ

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 6 ] Fri 4, Jun 2010 23:22:24

 

  

เนื่องจากวัตถุมงคลของท่านครูบาสิริฯ มีมากมายหลายประเภท  หลายชนิด  แต่ละอย่างก็มีเอกลักษณ์เป็นศิลป์ที่สวยงามเฉพาะอย่าง  อย่างชัดเจน  แถมลูกศิษย์บางคน ก็อยากให้ของตนมีความแตกต่างไปจากของคนอื่น   ก็อาจจะขอความเมตตาจากท่านครูบาสิริฯให้จัดทำอันมีเอกลักษณ์เป็นพิเศษเป็นของตนต่างหากได้(ในความเห็นของผม เนื่องจากวัตถุมงคลบางอย่างเป็นการจัดทำโดยมือ  วัตุถุมงคงจึงไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน  แต่ถึงอย่างไร โดยองค์รวม  และความเก่า ควรจะต้องเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่)

ยิ่งมีมาก  ความสับสนก็มีมาก  เมื่อยังมีคนรุ่นเก่าที่ยังคงรู้อยู่บ้าง   เราก็ควรต้องรีบสอบถามเก็บไว้เพื่อให้ข้อมูลนั้นยังคงมีอยู่ต่อไม่สูญหายไป อย่างน่าเสียดาย

เนื่องจากการสอบถามนี้ เป็นการสอบถามทางวาจา  การส่งต่อทางคำพูด อาจคลาดเคลื่อนไปบ้าง  หวังว่าก็คงจะให้อภัยซึ่งกันและกัน   มีอะไรที่เรารู้  ก็แย้งได้  เพื่อให้ได้ข้อมูลได้ยุติอย่างถูกต้องในท้ายที่สุด

เมื่อข้อมูลไม่เป็นที่ยุติ หากคนรุ่นเก่าล้มหายตายจากไป  หนทางเพื่อให้ได้มาก็จะสูญสิ้นไปอย่างน่าเสียดายเป็นที่สุด

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 7 ] Sat 5, Jun 2010 00:01:40

 

สวัสดีครับ ท่าน คนนิคมหละปูน

จากการสอบถาม ท่านก๋ง สารภี

ได้ความว่า โดยหลัก ตะกรุดเสือสมิง จะมีเทียนชัย ปิดหัวท้าย ทุกดอกนะครับ

บางดอกที่ไม่มี หากพิจารณาแล้ว ลักษณะ  ความเก่า  องค์รวม หากมีลักษณะที่คล้ายกัน  ดอกไหนที่ไม่มีเทียนปิดหัว ท้าย  ก็อาจจะเป็นเพราะได้หลุดหายไป ก็เป็นไปได้ เช่นกัน

(เป็นเชิงความเห็นนะครับ  แต่ที่แน่ๆ ของท่าน เป็นไปตามสภาพเดิมทุกประการ)

ส่วนดอกที่พอกครั่งอย่างบาง ยังมีปัญหา ว่าจะใช่ตะกรุดเสือสมิงหรือไม่ เพราะจากการสอบถามด้วยว่าจา  ท่านก๋ง สารภี ก็ว่ามีอยู่  แต่เผอิญดอกที่โพสท์(ชนิดบาง) นั้น ผมไม่ได้มาจากท่านก๋ง สารภี   แต่ได้มาจากแหล่งอื่น ซึ่งข้อมูลอาจจะคลาดเคลื่อนได้

ถึงอย่างไรก็ผมคงต้องนำไปคอนเฟิร์ม กับท่านก๋ง สารภีให้เป็นที่แน่ชัดเสียก่อน เพราะมีลักษณะที่แตกต่างไปอย่างชัดเจน   จึงขอติดค้างข้อมูลตรงนี้ไว้ก่อน  ไว้วันไหนได้มีโอกาสไปหา ท่านก๋ง สารภี จะนำติดไปด้วยเพื่อให้ท่านก๋ง สารภี พิจารณายืนยันอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยรัก

ริมฝั่งวัง

 

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 8 ] Sat 5, Jun 2010 19:38:00

 
มารายงานตัวไปหน่อยครับ สงสัยตะกรุดนี้กำบัง อำพรางตัวได้แน่เลย แบบว่าผมมองไม่เห็นกระทู้พี่เลยนะ สุดยอดครับพี่
 
โดย : หนานน้อย    [Feedback +24 -0] [+0 -0]   [ 9 ] Sat 5, Jun 2010 22:18:31

 
                                                                        
 
โดย : sidtad    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 10 ] Sat 5, Jun 2010 22:23:23

 

เอาเรื่องเล่า เสือสมิง มาให้อ่านกัน  ไปเจอมา จากเวป Hunsa.com โดย Peebee

เสือเย็นแห่งวัดหมื่นสาร จังหวัดเชียงใหม่

 

     านมาแล้ว ในสมัยที่ผู้ชายนิยมการหาความรู้ด้วยวิธีเรียนคาถาอาคมต่าง ๆ เช่น เรียนคาถาปราบผี เรียนคาถาเมตตามหานิยม เรียนคาถาอยู่ยงคงกระพัน เรียนคาถาล่องหนหายตัว เรียนคาถาแปลงกาย เป็นต้น ซึ่งการเรียนรู้นี้ แล้วแต่ใครจะชอบแบบไหนก็เรียนแบบนั้น หรือเรียนหลาย ๆ แบบก็ได้ การเรียนคาถาอาคมนี้ต้องควบคุมสติตนเองให้ได้ มิฉะนั้นจะเป็นผลร้ายกับตัวเอง ดังพระภิกษุชรารูปหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ ที่เรียนคาถาแปลงกายเป็นเสือเย็น  (เสือสมิง) แล้วควบคุมตนเองไม่ได้ ออกมาไล่กัดวัวควายของชาวบ้าน จึงถูกปราบด้วยคาถาอาคม ในที่สุดก็มรณภาพ

 

     นอกกำแพงเมืองเชียงใหม่ทางด้านทิศใต้ตรงป่าช้าประตูหายยามีวัดโบราณอยู่วัดหนึ่ง ไม่มีพระภิกษุจำพรรษาอยู่เลยสักรูปเดียว จึงกลายเป็นวัดร้าง โบสถ์ วิหาร เจดีย์ กุฏิพระชำรุดทรุดโทรมเป็นซากปรักหักพังมีเถาวัลย์และไม้เลื้อยขึ้นปกคลุมหนาแน่น ทำให้บรรยากาศแลดูเงียบเหงาวังเวงยิ่งนัก ต่อมา มีพระภิกษุชรารูปหนึ่งมาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้ และออกบิณฑบาตในเวลาเช้าทุกวัน ชาวบ้านในหมู่บ้านต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าพระภิกษุชรารูปนี้เป็นใครมาจากไหน แต่ก็ยังใส่บาตรเป็นประจำเพราะมีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา

 

     วัดร้างแห่งนี้มักเป็นที่พักแรมของพ่อค้าเมืองเชียงใหม่ที่นำสินค้า เช่น ข้าวสาร เมี่ยง ใบพลู น้ำตาล เกลือ ไปขายในชนบทห่างไกลเป็นประจำเพราะอยู่นอกเมือง สะดวกที่จะให้วัวต่าง (ต่าง คือ ภาชนะสำหรับบรรทุกของ มีคานพาดไว้บนหลังสัตว์ให้ห้อยลงมาทั้ง 2 ข้าง) หยุดพัก

 

    วันหนึ่ง มีพ่อค้ามาหยุดพักที่วัดร้างนี้เหมือนเช่นเคย ในเวลาเย็น พ่อค้าให้ลูกจ้างปลดต่างบรรทุกสินค้าออกแล้วนำวัวมาผูกรวมกันไว้ที่หลัก กลางดึกคืนนั้นพ่อค้าได้ยินเสียงวัวตื่นตกใจเหมือนกำลังพบกับสัตว์ร้ายแล้วพากันเตลิดออกจากหลัก พ่อค้าและลูกจ้างช่วยกันจุดไต้ออกติดตามวัวทั้งคืน จนเวลาใกล้รุ่งก็พบวัวตายไป 2 ตัว

 

     “ เอ๊ะ! นั่นวัวของเราที่หายไปนี่ มานอนตายอยู่ตรงนี้เอง มีรอยเล็บและรอยขบกัดไปทั้งตัวเลย แล้วยังมีรอยเท้าสัตว์ด้วย เอ... ดูเหมือนจะเป็นรอยเท้าเสือนะ คุณพระช่วย! รอยเท้าเสือจริง ๆ ด้วย ดูจากรอยเท้าต้องเป็นเสือตัวใหญ่มากทีเดียว พวกเราอยู่วัดนี้ไม่ได้แล้ว เดี๋ยวเสือจะกัดเอา... พวกเจ้าจงรีบไปเก็บของ เสร็จแล้วออกเดินทางทันที และบอกต่อ ๆ กันไปด้วย จะได้ไม่ต้องมีใครมาหยุดพักแรมที่วัดนี้อีก”   หัวหน้าพ่อค้าสั่งลูกจ้าง

 

     ข่าวการปรากฏตัวของเสือแพร่สะพัดไปทั่ว ไม่มีพ่อค้าคนใดกล้าหยุดพักแรมที่วัดนี้เลย ชาวบ้านในละแวกนั้นต่างหวาดกลัวจนไม่กล้าไปไหนในยามค่ำคืน โดยเฉพาะในวันข้างขึ้นหรือแรม 15 ค่ำ เสือร้ายจะปรากฏกายไล่กัดกินวัวของชาวบ้านเป็นประจำ ชาวบ้านพยายามช่วยกันหาวิธีที่จะจัดการกับเสือร้าย ถึงขนาดรวบรวมข้าวสารให้มีน้ำหนักถึงหนึ่งหมื่น เพื่อเป็นรางวัลแก่ผู้ที่สามารถกำจัดเสือ แต่ก็ไม่มีผู้ใดรับอาสาและก็ไม่มีใครพบตัวมันด้วย

 

     อยู่มาวันหนึ่งพ่อค้ากลุ่มหนึ่งจำเป็นต้องแวะพักแรมที่วัดร้างแห่งนี้ เพราะวัวต่างหลายตัวได้รับบาดเจ็บเดินต่อไปไม่ไหว ขณะที่พวกพ่อค้ากำลังหาอาหารเย็นอยู่นั้น พระภิกษุชราได้เข้ามาพูดคุยเรื่องเสือเย็นที่กำลังออกอาละวาด ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านในละแวกนั้น ซึ่งพวกพ่อค้าก็กลัวเสือเย็นเหมือนกัน แต่จำเป็นต้องพักเพราะสงสารวัวที่บาดเจ็บ

 

     คืนนั้นเป็นคืนข้างแรม 15 ค่ำ ท้องฟ้ามืดสนิท หัวหน้าพ่อค้าสั่งให้ลูกน้องช่วยกันจุดฟืนให้สว่างไว้มาก ๆ เพื่อป้องกันอันตรายยามค่ำคืนและให้นำวัวมาผูกรวมกันไว้ที่หลัก แล้วสั่งให้ลูกจ้างอยู่เวรยาม คอยเติมฟืนตลอดทั้งคืน พร้อมกันนี้ก็ให้สั่นพางราง  (พาง คือ แผ่นโลหะสำหรับตีบอกเสียง) เป็นจังหวะเพื่อให้วัวอบอุ่นใจไม่ตื่นตระหนกง่าย ๆ

 

     กลางดึกคืนนั้น ขณะที่หัวหน้าพ่อค้ากำลังเดินตรวจตราดูความเรียบร้อยของฝูงวัว และกำชับลูกจ้างให้คอยเติมฟืนอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงของพระภิกษุชราถามเรื่องการนอนของพวกตน จึงนึกสังหรณ์ใจว่าพระภิกษุรูปนี้อาจเป็นเสือเย็น หัวหน้าพ่อค้ารีบตอบกลับไป จากนั้นเขาก็นำตอกมาสานเป็นควายธนูตัวเล็ก ๆ 4 ตัว แต่สานยังไม่เสร็จเสียงของพระภิกษุชราก็ถามขึ้นอีกว่า

 

     “ยังไม่นอนอีกหรือ ดึกแล้วนะ

 

     “ยังไม่นอนขอรับ อีกประเดี๋ยวผมถึงจะนอนขอรับหัวหน้าพ่อค้าตอบ

 

     เมื่อเขาสานเสร็จแล้ว หัวหน้าพ่อค้าก็นำควายไม้ไผ่ทั้ง 4 ตัวมาวางไว้ตรงหน้าพร้อมกับเครื่องบูชาแม่พระธรณี อันประกอบด้วย หมาก พลูนั่งบริกรรมคาถาหัวใจควายธนูแล้วเป่าลงไปที่ควายไม้ไผ่นั้น 3 ครั้ง เสร็จแล้วนำควายไปวางรอบประจำทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก ทิศละ 1 ตัว เวลานั้นเป็นเวลาดึกสงัด กองไฟที่ก่อไว้เริ่มมอดลงจนเหลือแต่เถ้าถ่านแดง ๆ ทำให้บริเวณที่พักของพ่อค้ามืดมองเห็นแต่เพียงราง ๆ ผู้คนในกองคาราวานหลับหมด ยกเว้นหัวหน้าพ่อค้าที่ยังนั่งบริกรรมคาถาอยู่เพียงคนเดียว เวลาไม่นาน เขาก็มองเห็นร่างร่างหนึ่งค่อย ๆ ก้าวช้า ๆ เข้ามาใน บริเวณที่พัก หัวหน้าเขม้นตามอง จึงเห็นว่าร่างนั้นคือ เสือโคร่งขนาดใหญ่กำลังย่างเท้าช้า ๆ เข้าหาฝูงวัวต่างที่กำลังตื่นตระหนก เขาบริกรรมคาถาหัวใจควายธนูเป็นครั้งสุดท้าย แล้วลุกขึ้นตบมือร้องว่า

 

     “เอา...ลูก เอา ๆ ๆ

 

     ทันใดนั้น ควายไม้ไผ่ทั้ง 4 ตัวก็กลายเป็นควายธนูตัวใหญ่ เขาโง้งยาววิ่งกระโจนเข้าหาเสือโคร่งทันที เสือไล่ตะปบกัดควายธนู ควายก็ไล่ขวิดเสือ ต่างฝ่ายต่างต่อสู้กันอย่างไม่ลดละ ในที่สุด เสือโคร่งสู้ควายทั้ง 4 ตัวไม่ได้ก็วิ่งหนีหายไปในความมืด ฝูงวัวต่างปลอดภัยทุกตัว เช้ามืดหัวหน้าพ่อค้าพาลูกจ้างเดินสำรวจรอบ ๆ ที่พัก ก็พบร่องรอยการต่อสู้ของเสือและควายธนู

 

     “ดูซิ พวกเรา นี่รอยเท้าเสือกับควายต่อสู้กัน เอ๊ะ ! มีรอยเลือดหยดเป็นทางไปทางนั้นด้วย สงสัยว่าเสือคงจะได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อยเสียดาย... ไม่มีเวลาตามไปดู เพราะเราต้องรีบไปเสียด้วย เอ้า ! พวกเราไปช่วยกันเก็บของเถอะ เรียบร้อยแล้วออกเดินทางทันทีหัวหน้าพ่อค้าพูดกับลูกน้อง

 

     วันนั้น พระภิกษุชราไม่ออกบิณฑบาตเหมือนทุกวัน ชาวบ้านรออยู่จนสายก็ไม่เห็นจึงพากันไปดูที่กุฏิ พบรอยเลือดหยดเป็นทางเข้าไป จึงรีบเข้าไปดูก็เห็นภาพพระภิกษุชรานอนสิ้นใจ ร่างกายเต็มไปด้วยรอยแผลเหมือนถูกควายขวิด ชาวบ้านจึงพากันลงความเห็นว่า พระภิกษุชราคือเสือเย็นนั้นเอง คงเป็นเพราะท่านเรียนวิชาเสือสมิงหรือเสือเย็น แล้วควบคุมตนเองไม่ได้ต้องกลายร่างเป็นเสือออกอาละวาดทุกวันขึ้น 15 ค่ำ หรือแรม 15 ค่ำ อยู่เป็นประจำ จนต้องมรณภาพในสภาพเช่นนี้

 

     ต่อมา ชาวบ้านช่วยกันบูรณปฏิสังขรณ์วัดร้างขึ้นใหม่ พร้อมกับนิมนต์พระมาจำพรรษาแล้วตั้งชื่อวัดนี้ว่าวัดหมื่นสาร

 

อันหมายถึงข้าวสารน้ำหนักหนึ่งหมื่น ที่ตั้งขึ้นเพื่อเป็นรางวัลใจการปราบเสือเย็น ปัจจุบันวัดนี้อยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่

 

 

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 11 ] Sun 6, Jun 2010 11:40:12

 
เป็นนิทานริมกองไฟเรื่องหนึ่งของชาวป่าที่ชาวกรุง ผู้ห่างไกลสัมผัสเพียงคำบอกเล่า ส่วนใหญ่พวกพรานไปนั่งห้างยิงสัตว์ตอนกลางคืน หรือเข้าป่าลึกถึงจะมีสิทธิ์เจอ เล่ากันว่าเป็นเสือแก่ที่กินคนมามากจนสามารถจำแลงร่างได้ พอเหยื่อเผลอก็ตะครุบกิน ส่วนการแปลงร่างก็ทำได้ไม่จำกัด เป็นชายก็มี เป็นหญิงก็มี และที่แนบเนียนกว่านี้ก็คือแปลงเป็นพระธุดงค์ เพราะคนจะไม่ระแวงเอาเลย


เป็นตำนานที่กล่าวขานกันมาแต่นมนาน ถึงความน่ากลัวของศาสตร์อาถรรพ์ ที่มีปรากฏเกิดขึ้นว่า เสือที่ดุร้ายและมักชอบจับคนกินเป็นอาหาร เมื่อกินคนมากเข้าวิญญาณคนที่เสือกินเข้าไปนั้น ก็อยู่สิงสู่ในกายเสือ ทำให้เสือตัวนั้นมีความเป็นอาถรรพ์ ที่สามารถจำแลงแปลงกายบิดเบือนตนเสือให้กลายเป็นใครต่อใครก็ได้ เพื่อเที่ยวหลอกล่อคนที่เป็นเหยื่อให้หลงกล ทำให้จับกินได้ง่ายขึ้น ครั้นยิ่งกินคนมากขึ้น วิญญาณก็ยิ่งสิงสู่ในตัวเสือมากเข้าเท่าใด เสือตัวนั้นก็ยิ่งมีฤทธิ์มีอำนาจมากขึ้นเป็นทวีคูณ ซึ่งเรื่องความเป็นมาของเสือมิใช่มีแต่เสือมันกินคนแล้วมันจะกลายเป็นเสือ สมิงได้เท่านั้น มีอีกอย่างที่ทำให้เกิดความเป็นเสือสมิง คือ พวกที่เรียนวิชาเสือ คือการเรียกเอาวิญญาณเสือนั้นมาเข้าสิงในตน ผนวกกับคนผู้นั้นร่ำเรียนอาคมในทางเดรัจฉานวิชาด้วย เมื่อนานเข้า เกิดการรวมตัวในทั้งสองเรื่องที่กล่าว คือ ทั้งวิชาเรียกเสือ และอาคม ทำให้คนผู้นั้นกลายเป็นเสือสมิง ครั้นเสือตนนี้ได้ไปกินคนเข้า ก็กลายเป็นเสือสมิงโดยสมบูรณ์ มีเรื่องเล่าขานและค่อนข้างดังมาก เมื่อประมาณ 30 กว่าปีที่แล้ว และดูเหมือนว่า กลายเป็นข่าวลงหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ที่ยักษ์ของประเทศ ว่า มีชาวบ้านทางภาคเหนือได้รับความเดือดร้อนที่ว่า มีเสือตัวใหญ่เข้าไปทำร้ายคนในหมู่บ้านแห่งหนึ่งนั้น เป็นที่หวาดกลัวแก่ชาวบ้านมาก จึงได้ไปขอความคุ้มครองจากทหารหน่วย ตชด. เพื่อเข้ามาดูแลความปลอดภัยภายในหมู่บ้าน ฝ่ายทหารหน่วย ตชด. จึงส่งกำลังเข้าไปคุ้มครองและได้ล่าเสือตัวนั่นไปในตัว กลางดึกคืนหนึ่งนั้นฝ่าย ตชด. ได้จัดกำลังตรวจตราหน่วยหนึ่ง และส่วนที่เหลือก็เข้าที่พัก บนศาลาที่จัดกันไว้ เป็นที่พักผ่อนนอนหลับ และในตอนดึกคืนนั้น ศาลาที่หน่วย ตชด. พัก เกิดสั้นไหวโยกเอน เมื่อทหารที่นอนตื่นกันลุกขึ้นมาดู กลับเห็นเสือโคร่งขนาดใหญ่ พิงสีตัวอยู่ที่โคนเสาศาลา ทหารกำลังหน่วยนั้นได้ยิงใส่เสือโคร่งใหญ่นั้น ทำให้เสือตัวนั้น บาดเจ็บและหายไปในความมืดนั้น ครั้นรุ่งเช้า หน่วยทหารจึงทำการติดตามแกะรอยเลือดเสือตนนั้นไป จากการติดตามรอยเลือดนั้นผลปรากฏว่า รอยเลือดนั้นไปสิ้นสุดที่หลุม เนินดินแห่งหนึ่ง แล้วไม่ปรากฏรอยเลือดนั้น ไปทางไหนอีก ทหารที่ติดตามนั้นเห็นเนินดินแล้วจึงตัดสินใจในความสงสัยกันบางอย่าง จึงขุดหลุมเปิดเนินดินนั้น เมื่อขุดไปลึกพอประมาณ ก็ต้องอึ้งกันไปทั้งหมด เพราะสิ่งที่เห็นในหลุมนั้นปรากฏว่า เป็นศพผู้ชายคนหนึ่งแต่ตัวท่อนล่างนั้นเป็นสภาพของเสื่อลายพาดกลอน ดูเหมือนว่า เป็นการกลายร่างจากเสือเป็นคนที่ยังไม่สมบูรณ์นั้นเอง จากการถามที่มาของศพชายผู้นี้ ได้ความว่า เป็นคนในหมู่บ้านย่านนั้น และสาเหตุที่ตายเพราะผิดผี จึงตาย ประเด็นน่าสนใจอยู่ที่ว่า ชายผู้นี้ผิดผีอะไร อย่างไร ซึ่งหนังสือนั้นมิได้กล่าวถึง จึงยากต่อการวิเคราะห์ได้ ในช่วงสมัยนั้นก็มีวิชาที่คล้ายกันอีกอย่างหนึ่ง คือวิชาแปลงร่างเป็นจระเข้ ซึ่งเรื่องนี้ ถ้าสนใจก็ลองค้นในประวัติและเรื่องราวของหลวงปู่สุข วัดมะขามเฒ่า อยุธยา ดูก็จะเห็นความใกล้เคียงในเรื่องความเป็นไป เรื่องของวิชาแปลงร่างนี้ ก็มีปรากฏในเรื่องขอกสินดิน แต่โดยเฉพาะวิชาเสือสมิง และวิชาจระเข้แปลงรูปนี้ ได้สาบสูญไปแล้ว เพราะที่จริงวิชาอย่างนี้ที่สุดแล้วให้โทษมากกว่าให้คุณครับ ปัจจุบันคณาจารย์ หรือผู้เรียนอาคม มักนิยมปลุกเรียกเสือ ลงเครื่องรางมากกว่า เรียกลงคน 


        เรื่องราวของเสือสมิงมีบันทึกเอาไว้ในพระราชหัตถเลขาในพระบาทสมเด็จ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่อเสด็จประพาสต้นไปถึงจันทบุรี เป็นที่รู้กันว่าทรงโปรดที่จะเสด็จเยี่ยมเยียนราษฎรในหัวเมืองต่างๆ หลายจังหวัดด้วยกัน เพื่อจะได้ทรงเห็นทุกข์สุขของราษฎรได้ใกล้ชิดมากกว่าจะทรงรับรายงานจากทาง ราชการเพียงอย่างเดียว และอีกอย่างก็เป็นการแปรพระราชฐานเพื่อพระพลานามัยจะได้แข็งแรงสมบูรณ์ขึ้น ด้วย


        เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๙ พระเจ้าอยู่หัวเสด็จเรือพระที่นั่งอรรคราชวรเดชลัดเลาะไปตามชายฝั่งทะเลด้าน ตะวันออก พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ ไปถึงจันทบุรี


        ตอนนั้นจันทบุรีเป็นป่าเสียมากกว่าเป็นเมืองและสวนผลไม้อย่างเดี๋ยว นี้ มีสัตว์ป่าชุกชุมทั้งช้าง ม้าป่า และเสือ โดยเฉพาะเสือถือว่ามีมากเป็นอันดับหนึ่ง ถ้าทางกรุงเทพต้องการเสือก็ต้องมาดักเอาที่นี่ เพราะเป็นสินค้าที่ต่างประเทศต้องการมาก เพราะเหตุนี้ เจ้าเมืองจันทบุรีนอกจากจะต้องดูแลราษฎรต่างพระเนตรพระกรรณแล้วยังมีหน้าที่ คล้ายๆรพินทร์ ไพรวัลย์ คือต้องคอยปราบเสือไม่ให้มารังควานชาวบ้านอีกด้วย


        ใน พ.ศ. ๒๔๑๙ เสือที่จันทบุรีอุกอาจมาก บุกเข้าไปในบ้านคนแล้วคาบคนในบ้านไปกินเสียดื้อๆ ขนาดในเมืองมันก็ยังไม่กลัว กล่าวกันว่าเป็นเสือแก่ที่ไม่ว่องไวพอจะวิ่งไล่จับสัตว์อื่นๆได้ ก็เลยเข้าบ้านมาจับคนกินแทนเพราะง่ายกว่า ทำเอาชาวเมืองจันท์ระส่ำระสายเสียขวัญกันไปทั้งเมืองแทบไม่เป็นอันทำมาหากิน


        พระยาจันทบุรีเห็นเสือชักจะกำแหงก่อกวนคนมากเกินไปเสียแล้ว ก็ตัดสินใจเปิดศึกขั้นเด็ดขาดด้วยการประชุมพรานมือดีมาหลายคน แจกปืนให้ แยกย้ายกันออกไปล่าเสือ คนไหนไม่มีปืนก็ทำจั่นดัก ล่ากันเอาจริงเอาจังฆ่าเสือตายไปมาก ที่เหลือก็เตลิดหนีเข้าป่าลึก ทำให้ชาวบ้านหายขวัญเสียกลับมาทำมาหากินอย่างสงบได้อีกครั้ง


        เรื่องเสือจริงสงบลงไม่ทันไร ชาวบ้านก็เริ่มขวัญเสียกันใหม่เพราะมีข่าวเล่าลือเรื่องเสือสมิง ประจวบกับเวลาที่พระเจ้าอยู่หัวเสด็จไปพอดี ในพระราชนิพนธ์ ทรงบันทึกไว้ว่า




"...ราษฎรชาวเมืองเชื่อถือกลัวเสือสมิง กันมาก เล่ากันว่าที่เมืองเขมรมีอาจารย์ทำน้ำมันเสือสมิงได้ ศิษย์ได้ลักน้ำมันนั้นทาตัวเข้า กลายเป็นเสือสมิงไปถึง ๓ คน พลัดเข้ามาในแขวงเมืองจันทบุรี ตัวหนึ่งเป็นเสือดุร้าย เที่ยวขบกัดคนตายที่พลิ้ว ๒ คน ที่ปากจั่น ๑ คน ที่ป่าสีเซ็น ๒ คน รวม ๕ คน อาจารย์เที่ยวตาม ได้บอกชาวบ้านว่าศิษย์สามคนลักน้ำมันเสือสมิงทาตัวเข้า กลายเป็นเสือไปทั้งสามคน บิดามารดาของศิษย์นั้นเขาจะเอาลูกของเขา จึงมาเที่ยวตามหา แล้วสั่งไว้ว่าใครพบปะเสือนี้แล้วให้เอาไม้คานตี ฤๅมิฉะนั้นให้เอากะลาครอบรอยเท้าเสือนั้น ก็จะกลับเป็นคนได้ แต่วิธีจะแก้นี้ทำได้ก็แต่เมื่อเสือนั้นยังไม่ทันกินคน รังควานทับเสียแล้ว ถึงจะทำวิธีที่บอกก็ไม่อาจกลับเป็นคนได้"


อ่านแล้วก็ไม่ค่อยแน่ใจว่าเป็นเรื่องจริงหรือหลอกลวงกัน เพราะดูๆแล้วอาจารย์คนนี้คิดน้ำมันทาตัวคนให้เป็นเสือขึ้นมาเพื่อประโยชน์ อะไรก็ยังแปลกๆอยู่ แล้วเสือลูกศิษย์ทำไมวิ่งถึงข้ามชายแดนมาไกลขนาดนี้แทนที่จะอยู่ถิ่นเดิมใน เขมร อีกอย่าง ในเมื่อตอนนี้เสือกินคนเสียแล้วกลับคืนร่างเดิมไม่ได้ อาจารย์จะทำอย่างไรก็ยังไม่มีคำตอบ พระเจ้าอยู่หัวท่านก็คงจะไม่ทรงเชื่อข่าวลือนี้เท่าไร เพราะทรงบันทึกต่อไปว่า



"...เหมือนเมื่อครั้งก่อนเรามาสัตหีบ ครั้งหนึ่ง น้ำจืดในเรือหมด ต้องเกณฑ์ให้ทหารขึ้นไปตักน้ำที่หนองบนบกไกลฝั่งประมาณ ๓ เส้น พวกชาวบ้านบอกว่าที่นี่มีเสือสมิงมาเที่ยวอยู่ พระสงฆ์ผู้เป็นอาจารย์มาติดตามเวลากลางคืน แล้วก็ไปนั่งอยู่ที่ใต้ต้นตาลริมหนองน้ำนั้น คอยจะแก้ศิษย์ซึ่งกลับเป็นคน ในเวลานั้นก็ยังอยู่ พวกทหารพากันกลัว กลับมาเล่าจนเรารู้ เราอยากจะให้ไปตามตัวลงมาให้เห็นหน้าอาจารย์สักหน่อยหนึ่ง ก็เป็นเวลาดึกเสียแล้ว ครั้นเวลาเช้าก็ไปเสียจากสัตหีบ ท่านขรัวอาจารย์นั้นป่านนี้เสือมันจะเอาไปกินเสียแล้วฤๅอย่างไรก็ไม่รู้ "

ขอบคุณ : http://jackkydorson.igetweb.com/index.php?mo=3&art=245827
 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 12 ] Sun 6, Jun 2010 11:52:52









 

จากที่ติดค้างไว้เดิม

ได้ไปพบท่านก๋ง สารภี และนำตะกรุดไปขอคอนเฟิร์มด้วยนั้น

บัดนี้ได้รับคำตอบยืนยันแล้วนะครับ  ว่าตามตัวอย่างไม่ใช่ตะกรุดเสื้อสมิง  แต่เป็นตะกรุดก๋าสะท้าน นะครับ

จึงเรียนมาเพื่อขออภัยไว้ด้วยนะครับ   หวังว่าคงไม่ว่ากัน เพราะข้อมูลที่ได้มาย่อมจะผิดพลาดกันได้นะขอรับ

 
โดย : ริมฝั่งวัง    [Feedback +19 -0] [+0 -0]   [ 13 ] Sun 13, Jun 2010 06:54:41

 
เปิดตำนานเสือสมิง ของท่านครูบาสิริฯวัดปากกอง : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.