พระล้านนาดอทคอม แหล่งรวมพระเครื่องเมืองเหนือ
โชว์พระกรุทั่วไป

พระเชตุพลเนื้อดิน

   
 

 พระเชตุพลเนื้อดินสภาพเดิมๆ ขนาดพอๆกับเม็ดถั่วแดง ถ่ายรูปยากครับโดยฌฉพาะกล้องของผมมันแพ้ความขาวของคราบหินปูนที่เกาะอยู่ ว่างๆจะล้างออกถ่ายใหม่เอาใจสมาชิกสักหน่อย จะไปถ่ายที่แม่สอดก็กลัวตกดอย ผมเป็นโรคกลัวความสูงครับ จะให้ดีขออาจารย์ช่วยแนะนำวิธีการถ่ายรูปพระให้ผมดีกว่าครับ ก่อนๆมาผมถ่ายด้วยแสงธรรมชาติ องค์นี้ถ่ายด้วยหลอดไฟ ผมใช้กล้องฟูจิ 9500 ตั้งหน้าออโต ถ่ายแบบมาโคร ตกแต่งรูปด้วยโปรแกรม Photoshopเสร็จแล้ว save for web เพื่อที่จะส่งรูปลงเวปได้เร็วขึ้น สมาชิกท่านใดมีความรู้ด้านนี้ช่วยแนะนำกันบ้าง

                 ขอบคุณครับ

 
     
โดย : สีฟ้า   [Feedback +0 -0] [+0 -0]   Sun 23, Nov 2008 19:21:01
 








 

ผมเองก็ใช้กล้องฟูจิรุ่น 602Z และ 9600 อยู่ เวลาถ่ายมาโครไม่ควรตั้งให้ถ่ายที่ Auto ผมมีบทความเกี่ยวกับการถ่ายรูปเขียนได้สักพักแล้ว  แต่ยังไม่ได้เผยแพร่ ลองอ่านดู เผื่อจะมีข้อความที่เป็นประโยชน์แก่คุณบ้างจะได้ลองแก้ไขดู

การถ่ายรูปพระเครื่องด้วยกล้องดิจิตอล

 

                                     ปัจจุบันกล้องถ่ายรูปมีการวิวัฒนาการไปมาก  หลายคนมีกล้องถ่ายรูปดิจิตอลเป็นของตนเอง  นักนิยมพระบางท่านเห็นรูปพระเครื่องสวยๆ จากนิตยสาร หรือตำรับตำราพระเครื่อง แล้วนึกกันว่า เราจะถ่ายรูปพระเครื่องที่มีอยู่ให้สวยกันได้อย่างไร      ผู้ที่กำลังตัดสินใจว่าจะซื้อกล้อง จะได้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องที่ต้องมีในการ พิจารณาก่อนตัดสินใจเลือกซื้อกล้องดิจิตอลมาใช้งานอีกด้วย ที่จริงแล้วหลักการในการถ่ายรูปไม่ว่าจะเป็นกล้องใช้ฟิลม์ หรือกล้องถ่ายรูปดิจิตอล ก็มีหลักการในการถ่ายรูปเช่นเดียวกัน เพียงแต่วิธีการ และอุปกรณ์ที่ใช้งานบางตัว จะแตกต่างกันออกไป  บทความนี้ขอให้ท่านอ่าน แล้วทำความเข้าใจให้ชัดเจน อย่าได้ข้ามไป  สำหรับผู้ที่ยังไม่มีประสพการณ์ ยกเว้นท่านที่พอรู้ในการใข้กล้องมาพอสมควรบ้างแล้ว                           

 

                                     ก่อนอื่นขอออกตัวก่อนว่า    ผมไม่ใช่ผู้ชำนาญการพิเศษ เกี่ยวกับเรื่องกล้องถ่ายรูป    เพียงแค่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องกล้อง   เรียนรู้ด้วยตนเองจากตำราต่างๆ  และได้เคยใช้กล้องมาบ้าง  และเนื่องมาจากว่า กล้องดิจิตอลไม่ต้องเสียเงินซื้อฟิลม์มาใช้ และไม่จำเป็นต้องนำฟิลม์ไปล้าง  ซึ่งจะได้ชมผลงานทันทีที่ถ่ายรูป  ดังนั้นเมื่อตนเองมีข้อสงสัย  ก็ลองผิดลองถูก ทดลองตั้งค่าต่างๆเล่นดูได้หลากหลายๆรูปแบบ  จนพอจะจับแนวทางได้  ก็เลยนำประสบการณ์ของตนเองมาบอกเล่า โดยคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่มี หรือกำลังจะมีกล้องดิจิตอล แล้วใคร่รู้ว่าเขาถ่ายรูปพระกันอย่างไร

 

                     กล้องดิจิตอลที่มีคุณสมบัติจะถ่ายรูปพระเครื่องได้นั้น  ก่อนอื่นจะต้องมีปุ่มตั้งถ่าย มาโคร ( ถ่ายใกล้ ) หรือ ซุปเปอร์มาโครได้ ปุ่มที่ว่านี้เป็นปุ่มที่มีสัญลักษณ์ เป็นรูปช่อดอกไม้ดังรูป  และที่สำคัญที่สุดจะต้องดูจากสเปคของกล้องด้วยว่า ระยะใกล้สุดของกล้องที่สามารถโฟกัสระยะชัดในการถ่ายมาโครได้เป็นเท่าใด ซึ่งกล้องแต่ละรุ่น แต่ละยี่ห้อจะแตกต่างกันออกไป เช่นในกล้องที่มีราคาแพง มีความสามารถสูงๆสามารถโฟกัสได้ตั้งแต่ 1 ซ.ม. ไปถึง 10 ซ.ม. ในกล้องที่ราคาถูกลงไปก็อาจมีความสามารถลดลงในการโฟกัส คือตั้งแต่ 10 ซ.ม. ไปถึงห่างกว่านั้น แล้วแต่รุ่นของกล้อง ซึ่งนั่นก็หมายความว่า   เมื่อติดตั้งกล้องเข้ากับแท่นถ่ายรูป โดยหันเลนซ์คว่ำลง เหนือพระที่จะถ่ายรูป ระยะห่างระหว่างหน้าเลนซ์ลงมาถึงพระที่จะถ่าย ซึ่งยิ่งถ้าใกล้ ภาพที่ได้ก็จะมีขนาดใหญ่  และสามารถจะเก็บรายละเอียดของพระที่จะถ่ายได้ชัดเจน    ยิ่งถ้าขนาดความละเอียดของกล้อง (จำนวนพิกเซล Pixel )   นั้น ยิ่งถ้ามีความละเอียดสูงมากเป็น สิบล้านพิกเซล ( Pixel ) ด้วยแล้ว ก็จะทำให้เราสามารถถ่ายภาพพระเครื่องที่มีขนาดเล็กจิ๋วได้ใหญ่ขึ้นอีกด้วย   แต่จะต้องไม่ลืมว่า เมื่อเลนซ์สามารถเข้าใกล้พระที่จะถ่ายได้มาก  ตัวเลนซ์ก็จะไปบังแสงรอบข้างที่ส่องตกลงที่องค์พระ  ทำให้ส่วนหนึ่งขององค์พระมืดลง หรือเป็นเงาทาบ ทำให้ไม่น่าดู

 

                                     อันต่อมาที่ต้องคำนึงถึงก็คือ กล้องนั้นๆจะต้องมีความสามารถ ในการตั้งค่าการเปิดรูรับแสงของเลนซ์  ซึ่งกล้องราคาถูกมักจะไม่สามารถปรับรูรับแสงที่ว่านี้ได้ โดยกล้องจะเปิดรูรับแสงอัตโนมัติให้ ซึ่งทำให้เราควบคุมความชัดลึกไม่ได้ ความหมายของคำว่า ความชัดลึก  พูดง่ายๆก็คือ  เมื่อเราตั้งโฟกัสความชัดของพระไว้ที่พระเนตร (หน้าตา)หรือ พระนาสิก (ปลายจมูก ) ภาพที่ได้จะมีความชัดที่หน้าตา หรือ ปลายจมูก  แต่ระดับตัวซุ้มเรือนแก้วซึ่งสูงกว่า และระดับของพื้นผนังซึ่งอยู่ต่ำกว่า และรายละเอียดที่มีระดับต่างจากหน้าตาที่โฟกัสไว้อาจจะอยู่นอกระยะชัดที่โฟกัสไว้ ทำให้ส่วนนั้นเบลอ ซึ่งเรียกภาพอย่างนี้ว่ามีความชัดลึกของภาพต่ำ ทางแก้ก็คือถ้าต้องการให้ภาพที่ได้มีความชัดลึกของภาพสูง  ก็ให้ตั้งค่าเปิดรูรับแสงของภาพให้เล็กๆ ( F11 หรือ F16 ) เท่าที่จะสามารถทำได้ และเมื่อเราตั้งค่าการเปิดรูรับแสงให้เล็กแล้ว  เพื่อให้ภาพที่ถ่ายได้ ได้รับแสงที่พอควร  กล้องก็จะต้องใช้เวลาในการเปิดรูรับแสงนานขึ้นเพื่อเป็นการชดเชย  เวลาในการเปิดรูรับแสงที่นานขึ้นกว่า  1 ส่วน 60 วินาฑี  จะทำให้ภาพสั่นไม่ชัด ปัญหานี้จึงต้องแก้ด้วยการยึดกล้องเข้ากับแท่นถ่ายรูป พร้อมทั้งไม่ใช้นิ้วกดชัตเตอร์ แต่จะใช้โหมดการตั้งถ่ายตนเอง ในกรณีที่กล้องไม่สามารถใช้สายลั่นชัตเตอร์ได้

 

                                   อันเนื่องมาจากว่า แสงที่ตกกระทบวัตถุ แล้วสะท้อนเข้าเลนซ์กล้องถ่ายรูปแล้วตกลงบนฟิลม์ หรือจอรับภาพไวแสงในตัวกล้อง แล้วได้ภาพที่สว่างพอดีได้นั้น อยู่ที่ว่ารูรับแสงเปิดไว้เล็กหรือใหญ่  เมื่อเราเปิดรูรับแสงไว้เล็กๆ เวลาที่ต้องใช้ในการเปิดรูรับแสงก็ต้องนานขึ้น  เพื่อชดเชยให้ได้แสงที่พอดี กลับกัน ถ้าเราเปิดรูรับแสงให้ใหญ่ เวลาที่ใช้ในการเปิดรูรับแสงก็ต้องสั้นลง   กล้องโดยมากที่สามารถตั้งค่าโหมด การเปิดรูรับแสงของเลนซ์ได้ เช่น A , S และ M  และ Auto และ P ( Program )

 

                                   โหมด A  ( Aperture Priority )  ปกติเพื่อให้ภาพเกิดความชัดลึกสูงๆ ให้ตั้งไปที่  A ซึ่งจะบอกให้กล้องรู้ว่า เราจะตั้งค่าการเปิดรูรับแสงให้ ซึ่งจะต้องตั้งไว้ที่รูรับแสงที่เล็กๆ เช่นที่ F16 หรือเล็กกว่านั้น ส่วนเวลาที่ใช้ในการเปิดรูรับแสงนั้น  ให้กล้องคำนวณให้เรา

 

                                    โหมด S  ( Shutter Priority ) ในโหมดนี้กล้องจะให้เรา ตั้งเวลาในการเปิดรูรับแสงให้ก่อน ตัวเลขของเวลาในการเปิดรูรับแสงนี้มีหน่วยเป็น 1 ในเศษส่วนของวินาฑี  จนถึงเป็นวินาฑี  จากนั้นกล้องจะคำนวณว่าจะเปิดรูรับแสงเท่าใดให้เรา  เมื่อเป็นเช่นนี้ รูรับแสงเราไม่ได้เป็นผู้กำหนด ดังนั้นเราไม่สามารถควบคุมความชัดลึกของภาพได้ เนื่องจากกล้องกำหนดให้เรา  ฉนั้นการถ่ายในโหมดนี้จึงไม่เหมาะ

 

                                    โหมด M  ( Manual )  โหมดตั้งค่าเอง โดยกล้องจะให้เรากำหนดค่าเองทั้งขนาดการเปิดรูรับแสง  และเวลาที่จะใช้ในการเปิดรูรับแสง  ผู้ใช้โหมดนี้จะต้องมีประสพการณ์  หรือมีมิเตอร์วัดแสงไว้วัดแสง แล้วตั้งค่ามิเตอร์กำหนด   อนึ่งการตั้งค่าที่ไม่เหมาะสมถูกต้องจะทำให้ ภาพที่ได้สว่าง เกินไป หรือมืดเกินไปได้   ดังนั้นผู้ไม่มีความชำนาญ ไม่ควรใช้โหมดนี้

 

                                     นอกจากนี้ยังมีโหมด P ( Program ) หรือ Auto ซึ่งกล้องจะวัดแสงและคำนวณค่าของการเปิดรูรับแสง และเวลาในการเปิดรูรับแสงให้เราโดยอัตโนมัติ  ซึ่งก็จะมีปัญหาว่าไม่สามารถควบคุมความชัดลึกของภาพได้  ในกล้องบางยี่ห้อ บางรุ่นไม่สามารถใช้งานเมื่อตั้งถ่ายรูปแบบมาโครได้  รวมทั้งโหมดนี้ก็ไม่เหมาะที่จะใช้งานดังกล่าว

 

                                   ที่กล่าวมานี้เป็นคุณสมบัติของกล้องที่จะต้องมีเพื่อความสะดวกในการถ่ายรูปพระ  นอกจากกล้องแล้วเครื่องมือที่จำเป็นในการถ่ายรูปก็คือขาตั้งกล้อง  หรือแท่นถ่ายรูป  ซึ่งจะต้องยึดกล้องเข้ากับแท่นแล้วหันหน้าเลนซ์คว่ำลง แท่นถ่ายรูปที่สะดวกในการใช้งานควรจะมีขนาดกว้างพอสมควร เพราะนอกจากวางพระที่จะถ่ายแล้ว จะต้องวางกระจกสะท้อนแสง ที่จะตบแสงลบเงาที่เกิดขึ้น หรือสะท้อนแสงจากภายนอกเข้าไปยังองค์พระ ในส่วนที่แสงหลักส่องไปให้ความสว่างแก่องค์พระไม่ทั่วถึง ทำให้มองดูแล้วรู้สึกอึดอัด  เช่นที่ด้านล่างขององค์พระ ถ้าไม่มีกระจกตบแสงเข้าไปยังจุดที่ว่านี้  ภาพที่ได้ก็จะไม่เห็นขอบล่างแต่จะเห็นขอบมืดหายไปเฉยๆ  มีผู้ผลิตแท่นถ่ายรูปออกมาจำหน่าย ราคาไม่แพงและใช้ได้ดี กระจกสะท้อนแสงควรหาขนาดให้ใหญ่พอควร พลิกขึ้นลงสะดวก และต้องมีฐานที่มั่นคงไม่ล้มง่ายๆ บางทีอาจจะต้องเสริมขาตั้งให้สูงขึ้น  เพื่อให้สามารถตบแสงลบเงาที่เกิดขึ้นในซอกแขนขององค์พระได้

 

                                      การถ่ายภาพพระด้วยกล้องดิจิตอลเป็นการถ่ายภาพ พระที่วางอยู่บนโฟม หรือฟองน้ำในกล่องใส่พระพลาสติก  ที่สำคัญ  เพื่อไม่ให้กล้องวัดแสงรอบข้างองค์พระผิด  ในกรณีที่ขนาดขององค์พระมีขนาดไม่ใหญ่  สีของฟองน้ำควรจะเป็นสีเทา หรือสีดำด้านสนิท เพราะถ้าหากพื้นที่ในการวัดแสง หลุดจากองค์พระ  สีโทนนี้ จะไม่ค่อยมีผลกับการวัดแสงโดยรวมเหมือนกันกับสีโทนสว่าง  อาจจะใช้วิธีพ่นสีที่ต้องการลงบนแผ่นฟองน้ำ แล้วตากแดดให้แห้ง ภาพที่ถ่ายได้จะมี ฉากหลัง ( BackGround ) เป็นฟองน้ำรูพรุน  แต่หากเราไม่ชอบฉากหลังที่ว่านี้เราสามารถนำเอาภาพที่ได้นี้ไปเปลี่ยนฉากหลังเป็นสีอื่นภายหลัง  ด้วยโปรแกรม Photoshop ได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องสนใจว่าเมื่อถ่ายรูปออกมาแล้วฉากหลังจะสวยหรือไม่  อนึ่ง การที่ใช้ฟองน้ำรองพระที่จะถ่ายรูป มักจะไม่ค่อยพบปัญหากับ การที่พระจะหันหน้าไม่ตรง หรือกะโดกกระเดก หากพระหันหน้าไม่ตรงให้จับพระยกขึ้น แล้ววางใหม่อีกทีก็แก้ปัญหาได้แล้ว

 

                                    หากเราถ่ายรูปพระโดยให้พระวางอยู่บนกล่องกระจกซึ่งยกพื้นขึ้นมา แล้วมีกระดาษสีวางอยู่ด้านล่าง ใช้เป็นฉากหลัง

 

แบบเดียวกับการถ่ายรูปโดยกล้องใช้ฟิลม์ก็ย่อมได้ แต่มีข้อเสียว่า เมื่อเอาพระวางบนกระจก หากด้านหลังองค์พระไม่เรียบ พอวางบนกระจกแข็ง พระก็จะกระโดกกระเดก ทำให้ต้องเสียเวลาหนุนพระให้หันหน้าตรงกับเลนซ์อีกที

 

                                    เมื่อมีอุปกรณ์ที่มีคุณสมบัติตามที่ระบุไว้นี้พร้อม  ก็มาเริ่มเตรียมอุปกรณ์กันเลย  ก่อนอื่นให้เอากล้องยึดเข้ากับตัวแท่นถ่ายรูป  โดยให้หน้าเลนซ์คว่ำลงเป็นแนวระนาบกับพื้น ไม่ให้เอียง ซ้ายหรือขวา และปรับความสูงของขายึด โดยให้หน้าเลนซ์อยู่สูงจากพื้น อย่างน้อย 20 ซ.ม.  ทั้งนี้ก็เพราะกล้องบางตัวบางยี่ห้อ เมื่อเปิดสวิชกล้องให้ทำงาน มอเตอร์ในเลนซ์จะขับให้ตำแหน่งของเลนซ์ยื่นลงมาด้านล่างอีก ร่วม 2 - 3 ซ.ม. หากเลนซ์เคลื่อนลงมายังไม่สุด  แต่มาติดพื้นเสียก่อน กล้องอาจจะเสียหายได้ หรือไม่เช่นนั้น หากตัวเลนซ์เคลื่อนลงมากดบนพระที่วางอยู่ข้างใต้  อะไรจะเกิดขึ้นก็ลองนึกเอาเอง

 

                                     แท่นถ่ายรูปควรวางอยู่บนโต๊ะที่แข็งแรงไม่กระโดกกระเดก  ไม่ควรอยู่ใกล้ถนนที่มีรถวิ่งผ่าน  แรงเสทือนของรถวิ่งจะทำให้ภาพพระสั่นไหวได้ โดยเฉพาะช่วงเวลาที่กล้องเปิดรูรับแสงจับภาพ หากเป็นการใช้แสงภายนอกโดยตรง ก็ให้หันขายึดกล้องไปด้านตรงข้ามกับแสงที่ส่องมา โดยให้ตัวกล้องหันไปในทิศทางที่แสงส่องมา

 

                                    ให้เตรียมกระจกสะท้อนแสงกรอบพลาสติค ประมาณ 5 อัน ดังรูป ที่จะใช้เพื่อตบแสงลบเงาให้องค์พระด้านที่ไม่ได้รับแสง  ขนาดของกระจกควรเป็น  20 ซ.ม. X  12 ซ.ม. ถ้ากระจกเล็กไป  แสงสะท้อนที่กระทบกระจกแล้วสะท้อนไปที่องค์พระอาจส่องไม่ทั่วถึงทั้งองค์  บางทีอาจต้องเสริมฐานของกระจกสะท้อนแสงให้สูงขึ้น  หรือหากล่องมาหนุนให้สูงก็ได้

 

                                     เปิดสวิชกล้องถ่ายรูป  กดสวิชที่ปุ่ม มาโคร หรือปุ่ม ซุเปอร์มาโคร เพื่อเตรียมถ่ายรูปใกล้ พร้อมกันนั้นเมื่อมองในช่องมองภาพ หรือที่จอภาพจะเห็นว่ากล้องสามารถโฟกัสสิ่งที่อยู่หน้าเลนซ์ได้ชัดเจนขึ้น  จากนั้นเลื่อนปุ่มโหมดในการถ่ายรูปไปที่ A

 

                     ในการถ่ายรูปพระเครื่องนั้น  องค์พระจะมีแสงภายนอกมาตกกระทบ  และก็จะมีแสงสะท้อนส่วนหนึ่งเข้ามายังเลนซ์ด้วย  ทำให้เห็นภาพพระส่วนที่มีแสงสะท้อนไม่ชัด ทางแก้ก็คือใช้ฟิลเตอร์ Porarize ซึ่งใช้ตัดแสงสะท้อนสวมหน้าเลนซ์ แล้วหมุนให้ฟิลเตอร์ตัวนี้ทำมุมที่เหมาะสม จะเห็นด้วยตาเลยว่าแสงสะท้อนนั้นหายไป ฟิลเตอร์ที่ใช้นี้ต้องเป็นฟิลเตอร์แบบ Circular Poralize   เท่านั้น ( ยังมีฟิลเตอร์ แบบ Linear Porarize ด้วย ) ซึ่งค่อนข้างมีราคาแพง  นอกจากนั้นก็ยังมี อีกวิธีหนึ่งก็คือ  ปรับปุ่มชดเชยการรับแสงให้รับแสงให้น้อยลง  ราว 0.3 Ev – 0.7 Ev ซึ่งจะมีผลให้แสงสะท้อนลดลงเป็นส่วนใหญ่ได้เช่นกัน แถมวิธีนี้ไม่ต้องเสียตังค์เพิ่ม

 

                                     เลื่อน ปุ่มปรับขนาดรูรับแสงไปที่ F11 หรือ เล็กกว่านั้น  เพื่อให้ภาพที่จะถ่ายมีความชัดลึกสูง

 

                                    จากนั้นนำพระที่จะถ่ายวางลงบนฟองน้ำในกล่องพลาสติค  แล้วสอดเข้าไปข้างใต้เลนซ์ พยายามให้องค์พระอยู่ตรงกลางจอภาพ  สามารถเห็นองค์พระทั่วทั้งองค์ หากไม่สามารถเห็นองค์พระได้ทั้งหมด ก็ให้เลื่อนกล้องขึ้น  แต่หากต้องการให้องค์พระใหญ่ขึ้น หรือต้องการถ่ายเจาะเฉพาะส่วน ก็ให้เลื่อนกล้องลงโดยระวังไม่ให้ระยะระหว่างหน้าเลนซ์ถึงจุดที่จะโฟกัส ใกล้เกินกว่าที่กล้องจะสามารถโฟกัสได้  จากนั้นเลื่อนปุ่มการโฟกัสให้จับไปที่ใบหน้าขององค์พระ

 

                                     เมื่อมาถึงขั้นนี้ให้เช็คโหมดการวัดแสงที่ตั้งไว้ ว่าเป็น ( แบบแบ่งเป็นส่วนๆ ให้น้ำหนักในส่วนที่ระบุมากกว่า ) Multi ,  ( แบบเฉลี่ย ) Average และ ( แบบจุด ) Spot  ขอให้อ่านบทความข้างล่างนี้  แล้วตั้งค่าโหมดการวัดแสงให้ถูก

 

                     สิ่งที่จะต้องคำนึงถึง ว่าจะตั้งค่าการวัดแสงเป็นโหมดใดจะดีที่สุดนั้น  ที่จริงแล้ว การวัดแสงแบบ Spot นั้นถูกต้องที่สุด ถ้าสีขององค์พระใกล้เคียงกันทั่วทั้งองค์  แต่ต้องคำนึงด้วยว่าการวัดแสงแบบนี้นั้น  เครื่องวัดจะวัดที่ตรงกลางของจอภาพเป็นกรอบไม่ใหญ่นัก ข้อสำคัญที่ต้องระวังไว้ด้วยก็คือ   จุดในการวัดแสงไม่ได้เลื่อนไปตามจุดที่จะใช้โฟกัสปรับความชัด  ถ้าองค์พระไม่ได้อยู่ตรงกลาง   การวัดแสงที่ได้ก็จะผิดพลาด กลายเป็นการวัดแสงที่ฟองน้ำไป  แต่ถ้าโหมดการวัดแสงเป็นแบบ 2 อย่างแรก ก็ไม่ค่อยมีผลแตกต่างกันมากนัก  แต่จะเป็นการเอาค่าการวัดแสงในส่วนอื่น  เอามาผสมเฉลี่ยคิดด้วย

 

                                      มาถึงขั้นตอนนี้ ให้เรากดชัตเตอร์ครึ่งหนึ่ง เพื่อให้กล้องวัดแสง และทำการโฟกัส   แล้วลองมองดูภาพพระในช่องมองภาพ หรือ จอมองภาพ ว่าเห็นภาพพระชัดหรือไม่  ตำแหน่งในการโฟกัสถูกต้องหรือไม่  ถ้าไม่ถูกให้จัดตำแหน่งการวางใหม่ จากนั้นดูภาพพระอีกทีว่าภาพพระทั้งองค์สว่างทั่วถึงกันดีหรือไม่ ส่วนที่มืดไปให้เอากระจกสะท้อนแสงมาวางตรงกันข้าม หรือเฉียงๆกับแหล่งกำเนิดแสง แล้วหมุนให้กระจกรับแสงที่ส่องมา แล้วสะท้อนไปยังองค์พระส่วนที่มืด โดยเฉพาะด้านข้างองค์พระส่วนที่อยู่ตรงข้ามกับแหล่งกำเนิดแสง และด้านฐานขององค์พระ ในซอกแขนลึกๆ หรือใต้คางที่เกิดมีเงาดำทาบอยู่  ก็ให้ใช้กระจกสะท้อนแสง วางรับแสงลบเงาให้ทุกส่วนไม่มีเงาดำ  บางทีอาจจำเป็นต้องเสริมฐานของกระจกเงาสะท้อนแสงให้สูงขึ้นเพื่อตบแสงให้สาดลึกลงไปในซอกแขนที่นูนขึ้นมาเสียด้วยซ้ำ

 

                      หากกล้องใดมีความสามารถในการ ถ่ายคร่อม หรือ Auto Bracketing ได้ ก็ให้เปิดใช้ความสามารถนี้ เพราะจะเป็นความสะดวกที่กดชัตเตอร์ทีเดียว  ภาพที่ได้จากการถ่ายคร่อม จะได้ภาพชุดที่มีการเรียงระดับความสว่างไว้ให้เราเลือกเอาภาพที่ดีที่สุดภายหลัง  เพราะกล้องดิจิตอลไม่เสียเงิน ในการซื้อฟิลม์  ภาพใดที่ไม่ดีเราก็ลบทิ้งเสีย  การตั้งค่าความสว่างที่จะให้แ

 
โดย : อาทิตย์    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 3 ] Sun 23, Nov 2008 20:18:00

 

ข้อมูลไม่ครบ อ่านต่ออีกหน่อยครับ

แล้วก็มาถึงการกดชัตเตอร์ เพื่อถ่ายรูป  ตามปกติ ความเร็วในการที่กล้องเปิดรูรับแสงนั้นจะช้ากว่า 1 ส่วน 60 วินาที จนถึงเป็น วินาที ซึ่งถึงแม้จะยึดกล้องเข้ากับแท่นถ่ายรูปแล้ว แต่การเอานิ้วมือไปกดชัตเตอร์จะทำให้เกิดความสะเทือนขึ้นกับกล้อง ซึ่งจะส่งผลให้ภาพที่ถ่ายเบลอได้  ในกล้องระดับมือโปรที่ราคาแพงๆเท่านั้นที่จะมีรีโมทหรือสายใช้กดชัตเตอร์ ให้ใช้ ในกล้องระดับกลางๆ หรือระดับล่างจะไม่มีอุปกรณ์ที่ว่านี้  แต่มีปุ่มถ่ายตัวเอง ( Self Timer ) แทน  ซึ่งเมื่อตั้งเวลาใช้ปุ่มนี้กดชัตเตอร์ให้ ภาพก็จะไม่สั่น  เท่านี้เราก็ได้รูปพระที่สวยๆเก็บไว้อวดคนอื่นด้วยความภูมิใจแล้วใช่ไหมครับ

 
โดย : อาทิตย์    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 4 ] Sun 23, Nov 2008 20:21:18

 
ขอบคุณ พี่อาทิตย์ครับ
 
โดย : admin    [Feedback +4 -1] [+0 -0]   [ 5 ] Sun 23, Nov 2008 20:51:47

 
ขอบคุณครับ
 
โดย : สีฟ้า    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 6 ] Sun 23, Nov 2008 21:34:21

 
ใด้ความรู้ครับ
 
โดย : น้อย ไอยรา    [Feedback +28 -1] [+0 -0]   [ 7 ] Sun 23, Nov 2008 23:23:53

 
 
โดย : bonex    [Feedback +2 -0] [+0 -0]   [ 8 ] Mon 24, Nov 2008 10:05:44

 
 
โดย : happyy    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 9 ] Mon 24, Nov 2008 17:36:17

 
 
โดย : pandaa191    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 10 ] Tue 25, Nov 2008 01:50:50





 
อ้อ ก่อนเอารูปไป Post ลงใน Web ต้องลดขนาดรูปให้มีขนาด...พิกเซล ตามที่เราต้องการ อย่างในเวปนี้ ก็ราว 700 - 800 พิกเซล โดยใช้คำสั่ง Image Size ให้ลดขนาด พิกเซล  ตามต้องการ เวลาเซฟรูป เพื่อให้ได้คุณภาพของรูปก็ให้ใช้คำสั่ง Save as .. โดยมีนามสกุลเป็น jpg ซึ่งสุดท้ายจะมีหน้าต่าง JPEG OPTIONS ขึ้นมาตามรูป ให้เลื่อนปุ่มปรับระดับคุณภาพของรูปภาพที่จะเซฟ  จนในช่อง Size ข้างล่างที่บอกขนาดของรูปที่ต้องการ  ซึ่งใน Web นี้ไม่เกิน 200 K เราก็เลื่อนจนได้ใกล้เคียง นั่นคือได้ 192.46 K อย่างที่วงไว้ให้เห็น เมื่อกดปุ่ม OK ภาพก็จะเซฟโดยมีขนาดที่เลือกไว้นั้น จึงจะได้คุณภาพที่เรากำหนด  ไม่ใช่ให้โปรแกรมกำหนดให้เราครับ 
 
โดย : อาทิตย์    [Feedback +0 -0] [+0 -0]   [ 11 ] Tue 25, Nov 2008 08:41:18

 
พระเชตุพลเนื้อดิน : พระล้านนา.คอม เว็บ พระเครื่อง พระบูชา อันดับหนึ่ง ของภาคเหนือ ออกแบบเว็บไซต์โดย 2WinWeb design บริการรับทำเว็บไซต์
Copyright Pralanna.com All right reserved. © สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมายโดย บริษัท พระล้านนาดอทคอม จำกัด.